วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา

ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี่ยนอิริยาบถ สมาธิเป็นกิริยาของจิต เรากำหนดจิตอย่างเดียว ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นแต่เพียงการเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นการบริหารร่างกาย ตามหลักสุขภาพพลานามัย ซึ่งผู้ที่เรียนมาทางฝ่ายหมอย่อมจะเข้าใจอยู่แล้ว ทีนี้เราจะนั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งเก้าอี้ก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ จิตสมาธิเป็นกิริยาของจิตอย่างเดียว การยืน เดิน นั่ง นอน เราแสดงท่าประกอบเท่านั้น นั่งขัดสมาธิก็เรียกว่า นั่งสมาธิ เดินจงกรมเรียกว่า เดินสมาธิ ยืนกำหนดจิตเรียกว่า ยืนทำสมาธิ นอนกำหนดจิตเรียกว่า นอนทำสมาธิ ถ้าพยายามทำสมาธิในท่านอนมากๆ ได้ยิ่งเป็นการดี ถ้าท่านผู้ใดกำหนดจิต ทำสมาธิในเวลานอนได้ ถ้านอนลงไปแล้วกำหนดจิตพิจารณาอารมณ์อะไรก็ได้ ที่เราจะยกมาเป็นเครื่องพิจารณา ๆ ไปจนกระทั่งนอนหลับ พอหลับแล้วสมาธิจะเกิดขึ้นในขณะที่นอนหลับ เมื่อสมาธิเกิดขึ้นในขณะที่นอนหลับ กายเราก็จะเบา จิตเราก็จะเบา เป็นการพักผ่อนอย่างที่มีประโยชน์ที่สุด แต่ความรู้สึกนั้นอาจจะนึกว่า คืนนี้เรานอนไม่หลับทั้งคืน สมาธิคือการนอนหลับ อาการที่จิตก้าวลงสู่สมาธิในขั้นแรกคือ การนอนหลับ พอนอนหลับสนิทแล้ว สติมันตื่นขึ้นภายใน กลายเป็นสมาธิ การทำสมาธิในเวลานอนนี้รู้สึกว่าจะง่ายกว่าในขณะที่นั่ง พยายามทำให้บ่อยๆ ภาวนาพุทโธๆๆ หรือพิจารณาอะไรก็ตาม มันช่วยให้เรานอนหลับเร็วขึ้น ในเมื่อหลับเร็วๆ ขึ้น เราก็ทำกันอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งจิตมันชำนิชำนาญแล้ว ภายหลังการหลับ มันจะกลายเป็นสมาธิขึ้นมาเอง อยู่ที่การพยายามอย่างเดียว

วิธีการทำสมาธิ ดังที่อาตมาได้เสนอแนะไปนี้ ได้ทดสอบมาแล้ว สำหรับท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายนี้ ที่ท่านตั้งใจทำจริง ในที่นี้ ในโรงพยาบาลก็มีบางท่านไปเล่าให้ฟังกัน ท่านภาวนา พุทโธ ๆ ยุบหนอ พองหนอ สัมมา อรหัง ก็ไม่ได้ผล ภายหลังท่านมาเปลี่ยนเป็น วิตกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาแล้ว เอาสิ่งนั้นมาพิจารณา แม้เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับธรรมะก็ตาม ท่านสามารถทำจิตให้สงบมีปีติ มีความสุขขึ้นมาได้

แล้วภายหลังก็ไปถามพระ ไปถามพระว่าภาวนา พุทโธ ท่านก็บอกว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก ทำอย่างของอาตมานี้ ถึงจะถูก ไปถามยุบหนอ พองหนอ ก็ว่า โอ้ย ! อันนั้นมันทางโค้ง ไม่ตรง ของอาตมานี้สำเร็จ ไปถามที่สัมมา อรหัง ก็ไปแนะนำให้ไปสร้างดวงแก้วดวงแหวน ผมก็ทำไม่ได้ แล้วมันมีข้อสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมพระจึงรู้ไม่เหมือนกัน ท่านผู้นั้นไปถามว่า ทำไมพระจึงรู้ไม่เหมือนกัน ในเมื่อทำสมาธิเกิดภูมิความรู้ขึ้นมาแล้ว พระรู้แตกต่างกัน ก็แสดงว่าธรรมะไม่จริง สมาธิก็ไม่จริง คนปฏิบัติจึงรู้ต่างกัน เห็นต่างกัน

หลวงพ่อก็เลยไม่รู้ว่าอย่างไร ก็เลยตอบท่านผู้นั้นไปว่า พระที่ท่านไปถามนั้น ภาวนาไม่เป็น เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ท่านไม่ต้องไปเชื่อใครแล้ว สมาธิของท่านที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นสมาธิที่วิเศษที่สุด นักสังคม นักธุรกิจ นักการงาน นักวิชาการทั้งหลายทั้งปวง ถ้าปฏิบัติได้อย่างท่านนี้ วิเศษที่สุดเลย สมาธิอันนี้จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การสร้างให้โลกเจริญ พวกที่นั่งหลับตาไม่เอาไหน มองมาแต่ข้างนอก มีอุปสรรคขัดขวาง นั่นแหละสมาธิแบบนั้นจะทำให้โลกเสื่อม อย่าเอาเป็นตัวอย่างเลย เพราะฉะนั้น เอาเรื่องปัจจุบันนี้ที่เรารับผิดชอบอยู่นี้ วิชาที่เรียนมาอะไรก็ได้ วิชาพยาบาล วิชาแพทย์ ใครเคยผ่าตัด วิจัยร่างกาย ซากศพต่างๆ อะไรนี้ เอาสิ่งนั้นมาพิจารณา พิจารณาเรื่องของกาย ก็เรียกว่า กายคตานุสสติ พระสงฆ์ท่านว่า หทยัง = หัวใจ ปัพพาสัง = ปอด ท่านไม่ได้รู้เห็นอย่างพวกท่านหรอก พวกท่านเป็นคุณหมอนี้ เอาหัวใจ เอาปอด เอาตับไตไส้พุงมาผ่า มาวิจัย จนกระทั่งไส้เส้นเล็กเส้นน้อย มันอยู่อย่างไร ท่านรู้ละเอียดกว่าพระ แม้หลับตาลงไปเดี๋ยวนี้ก็มองเห็นแล้ว สิ่งใดที่มองเห็นให้เพ่งจิตมองดู พิจารณาในสิ่งนั้นให้ละเอียดลงไปจนกระทั่งจิตมันคล่องต่อการพิจารณา แล้วมันจะได้ผลขึ้นมาเอง

เรื่องธรรมะที่ท่านเขียนในพระอภิธรรมว่า จิต ๘๙ ดวง ๑๒๑ ดวง โลภะมูล ๘ โทสะมูล ๒ โมหะมูล ๒ อะไรนี้ อย่าไปไล่ อย่าไปนับมัน เอาแต่เพียงว่าอารมณ์ รูป ที่มันผ่านเข้ามาทางตานี้ เราจะไม่ให้รูปมันบดขยี้หัวใจเราได้อย่างไร เสียงที่มาในหูนี้ เราจะป้องกันอย่างไร จะไม่ให้มันเป็นโจรขโมยความปกติของใจเราได้ เอากันที่ตรงนี้ แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่ามันมีชื่ออะไรก็ช่าง แก้ไขปัญหาหัวใจ ให้มีความสุข ความสบาย ทำงานได้สะดวกคล่องแคล่ว นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ความรู้ที่จะไปนับว่า อันนั้นมีเท่านั้น อันนี้มีเท่านี้ เออ ถ้าอยากขึ้นเทศน์กินเครื่องกัณฑ์อย่างอาตมานี้ ควรที่จะไปท่องหน่อย อย่างพวกท่านนี้ อย่าไปสนใจเลย เอากันแต่เพียงว่า ให้มันรู้เท่าทันเหตุการณ์ ทั้งภายนอกและภายใน ใช้ได้แล้ว

.
หลวงพ่อพุธ  ฐานิโย

------------------------------
ที่มา เวป ลานธรรมจักร
ธรรมะเพื่อชีวิต
โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

อยากตัดสิใจให้เด็จขาด ดีไหม

#คำถาม- กราบอาจารย์วศิน  ผมอยากจะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาด   ตัดสินใจครั้งเดียวแล้วไม่เปลี่ยน จะทำอย่างไรดีครับ   อยากเป็นคนเด็ดเดี่ยว  ไม่โลเล

#คำตอบ -ไม่ดีหรอกครับ  ถ้าเกิดตัดสินใจผิดขึ้นมา  ก็ยุ่งใหญ่เลย ต้องแก้ไขได้  คือ ถ้าเราตัดสินใจผิดไป  ก็สามารถตัดสินใจใหม่ อย่าคิดว่าถ้าตัดสินใจอะไรแล้ว  ต้องทำไปตามที่ตัดสินใจทุกกรณี   ต้องรู้จักพิจารณา  

เราต้องพร้อมที่จะกลับ พร้อมที่จะหมุนกลับ มันต้องปรับเปลี่ยนได้ทุกเวลา ถ้าเรารู้สึกตัวว่ามันผิด ต้องตัดสินใจใหม่ แก้ไข ปรับเปลี่ยนได้   สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจได้ด้วย

บางทีมันคิดตัดสินใจผิดขึ้นมา  ชีวิตก็แย่ไปเลย  ก็ต้องพร้อมที่จะพิจารณาด้วยปัญญา ต้องยืดหยุ่นได้ แก้ไขได้

เขาเรียกว่า  "การณวสิกะตา"  แปลว่า ทำสิ่งที่สมควรแก่สถานการณ์   มันต้องยืดหยุ่น  มันต้องปรับเปลี่ยนได้  ชีวิตคน
ก็มีเหตุปัจจัยที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น
เราจะไปยึดอะไรไว้ตายตัวไม่ได้  เหตุปัจจัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ต้องปรับได้ ….

#เด็ดเดี่ยว    #โลเล   #เปลียนแปลง 
#อาจารย์วศิน

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2562

การเรี่ยไรเงิน ทำบุญ

"ที่เมืองจีนเขามีการเรี่ยไรเพื่อหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระท่านก็ไปประกาศเรี่ยไร มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาชีพกวาดถนน เกิดศรัทธาอยากจะถวาย #ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินอยู่อีแปะเดียว #ตัดสินใจถวายร่วมด้วย

พระที่เรี่ยไรนั้นอยู่ในอารมณ์ไหนไม่รู้ เห็นว่าเงินมันน้อยเหลือเกินก็เลยโยนคืนให้

'จะเอาไปทำอะไร...ก็เอาไป บริจาคมาแค่นี้ พระองค์ใหญ่ตั้งหลายวา' ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเก็บอีแปะนั้นไว้

เมื่อพระท่านเรี่ยไร ได้ทองแดงทองเหลืองจำนวนมากพอที่จะหล่อพระแล้ว #ก็ปรากฏว่าหล่อไม่ติด

ครั้งแรกพอทุบเบ้าออกมาเนื้อทองแล่นไม่ทั่ว ต้องเริ่มต้นทำแบบใหม่ ครั้งที่สองก็เป็นแบบนั้นอีก ครั้งที่สามก็เป็นแบบนั้นอีก

หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านประสบการณ์สูง เรียกพวกลูกวัดและบรรดากรรมการวัดทั้งหมดมาสอบถาม ว่าในช่วงที่ออกไปเรี่ยไรขอทองแดง ทองเหลืองจากชาวบ้าน มีเหตุอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า

ท่านก็ไล่สอบถามพระไปทีละสาย ๆ จนไปเจอพระสายนี้

บอกว่ามีหญิงคนหนึ่งที่เขากวาดถนนอยู่ #เขาบริจาคมาหนึ่งอีแปะเห็นว่ามันน้อยไปก็เลยโยนคืนให้
ปรากฏว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสพาพระทั้งวัดไปขอขมาแล้วขอเหรียญอีแปะนั้นคืน

เมื่อได้เหรียญอีแปะนั้นแล้ว ก็เอาใส่ลงไปเพื่อหล่อพระ ทุบแบบออกมา ปรากฏว่าเป็นองค์พระบริบูรณ์ สมบูรณ์ทุกประการ และที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ #อีแปะเหรียญนั้นไม่ละลาย #แต่ไปติดอยู่ตรงหน้าอกพระตรงหัวใจพอดี

หลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงขอรายละเอียด ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นเขามีอาชีพกวาดถนน เงินเดือนแทบไม่พอยาไส้

อีแปะเหรียญนั้นเขาซื้อข้าวต้มเปล่าได้ถ้วยเดียว และเป็นอาหารประจำวันของเขา #มันเป็นทานตัดชีวิตเลย

เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าแค่บาทเดียวนะจ๊ะ #มากพอที่พระจะปาราชิกเลย"

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒

++++++++++++++++++++++

โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
(พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ) วัดท่าขนุน

“5 ผู้ต้องธรณีสูบ” สมัยพุทธกาล


“5 ผู้ต้องธรณีสูบ” สมัยพุทธกาล

#พระเทวทัต ถูกธรณีสูบ

โดยทั่วไปเราทราบกันว่า ในสมัยพระพุทธองค์มีคนที่ทำความชั่วจนถูกธรณีสูบไป 1 คน คือ พระเทวทัต แต่ความจริงมีถึง 5 ซึ่งทุกคนล้วนแต่ก่อกรรมทำเข็ญมุ่งร้ายต่อพระพุทธองค์และสาวกของพระองค์ทั้งสิ้น

พระเทวทัต เป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธราพิมพา ชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า พระเทวทัตตามล้างตามผลาญพระพุทธองค์มาแล้วหลายชาติ

แรกเริ่มนั้น เมื่อครั้งพระเทวทัตเกิดเป็นพ่อค้า พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นพ่อค้าเช่นกัน ได้มีหญิงชราเป็นผู้ดีตกยากนำถาดทองสมบัติเก่าที่ยังเหลืออยู่ไปขายพระเทวทัต เพื่อจะหาเงินยังชีพ ด้วยนิสัยพ่อค้าที่คดด้วยเล่ห์ พระเทวทัตจึงบอกว่าถาดนั้นไม่ได้ทำด้วยทองแท้และตีราคาให้ต่ำ หญิงชราทราบดีว่าสมบัติเก่าของนางนั้นเป็นของมีค่า จึงไม่ยอมขายให้ พอดีกับพระพุทธองค์ขณะเสวยชาติเป็นพ่อค้าเสด็จผ่านมา หญิงชราจึงนำถาดทองเสนอขาย พระพุทธองค์เห็นว่าเป็นถาดที่ทำด้วยทองแท้ จึงให้ราคาสมกับค่าของถาด หญิงชราจึงได้ขายสมบัติชิ้นสุดท้ายนั้นให้พระพุทธองค์

เรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นแก่พระเทวทัตมาก เพราะถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หญิงชราก็จำต้องขายให้ตนเพราะความยากจนบีบบังคับ พระเทวทัตจึงกำทรายขึ้นมา 1 กำมือ แล้วหว่านออกไปพร้อมกับประกาศว่า จะขอจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ไปทุกชาติ เท่ากับเม็ดทรายเม็ดละชาติ

จากนั้นพระเทวทัตก็ติดตามจองเวรกับพระพุทธองค์มาหลายชาติ ชาติสุดท้ายก่อนเกิดเป็นพระเทวทัตจนถูกธรณีสูบ ได้เกิดเป็นชูชกขณะที่พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นพระเวสสันดร

ในชาติที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ พระเทวทัตก็มีจิตริษยาอาฆาตพระพุทธองค์มาแต่เยาว์วัย เมื่อพระพุทธองค์ทรงผนวช พระเทวทัตก็ออกผนวชด้วย และเมื่อพระพุทธองค์บรรลุพระโพธิญาณ พระเทวทัตก็สำเร็จโลกีย์ญาณ ได้อภิญญาสามารถแปลงกายและเหาะเหินเดินอากาศได้

นายขมังธนูซึ่งพระเทวทัตส่งไปฆ่าพระพุทธองค์ ปลงอาวุธ ฟังธรรม สำเร็จมรรคผล

แม้จะสำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว พระเทวทัตก็ยังมุ่งประกอบการชั่วจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ตลอด ครั้งหนึ่งได้ส่งนายขมังธนูไปปลงพระชนม์ เพื่อจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง เมื่อไม่สำเร็จก็ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูที่เคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ จนหลงผิดถึงขั้นปลงพระชนม์บิดาของตัวเอง และยังยุให้มอมเหล้าช้างนาฬาคีรีให้เมามันดุร้ายไปทำร้ายพระพุทธเจ้า ทั้งยังยุยงหมู่สงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ว่าพระองค์ยังพัวพันกับกิเลส มัวหมองในพรหมจรรย์ ฉันพระกระยาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ขณะที่พระเทวทัตหันไปฉันมังสวิรัติ และโอ้อวดว่ามีพรหมจรรย์ที่เหนือกว่า

ความชั่วร้ายต่างๆ ที่พระเทวทัตสะสมมาหลายชาติ ก็ได้บันดาลให้แผ่นดินลงโทษ เพราะไม่อาจจะแบกความชั่วไว้ได้ต่อไป แยกตัวออกสูบพระเทวทัตตกลงขุมนรกอเวจี หมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป

พิธีอภิเษกสมรส พระสิทธัตถะ กับ พระนางยโสธราพิมพา

ส่วนคนที่ 2 ซึ่งถูกธรณีสูบในสมัยพุทธกาลก็คือ #สุปปะพุทธะ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระเทวทัตและพระนางยโสธราพิมพา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง เมื่อรู้ว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบเพราะจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ แทนที่สุปปะพุทธะจะสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตโกรธแค้นอาฆาต ทั้งยังโกรธแค้นเจ้าชายสิทธัตถะที่ทอดทิ้งธิดาของตนออกผนวช จึงนำอำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งดื่มสุรา ขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกโปรดเวไนยสัตว์ ทำให้พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไม่ได้เพราะมีทางออกอยู่ทางเดียว ถึงกับต้องอดพระกระยาหารไป 1 วัน

เมื่อพระอานนท์ทูลถามถึงความผิดของสุปปะพุทธะที่กระทำเช่นนั้น พระพุทธองค์ซึ่งทราบด้วยญาณ จึงตรัสว่า

“ดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปได้เจ็ดวัน สุปปะพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป”

เมื่อสุปปะพุทธะทราบถึงพุทธดำรัส จึงขึ้นไปประทับบนชั้น 7 ของปราสาท ทั้งยังให้นายทวารคอยขัดขวางไว้ไม่ให้พระองค์ออกจากปราสาทใน 7 วัน

สุปปะพุทธะประทับอยู่ในปราสาทชั้น 7 จนถึงวันที่ 7 ก็ได้ยินเสียงม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าที่ทรงโปรดร้องก้อง ด้วยความเป็นห่วงม้า สุปปะพุทธะจึงวิ่งลงมา เหล่านายทวารก็คิดว่าครบ 7 วันตามกำหนดแล้ว จึงไม่มีผู้ใดขัดขวางไว้

พอสุปปะพุทธะก้าวพ้นปราสาท เหยียบพระบาทลงบนพื้น ธรณีก็เปิดออก สูบสุปปะพุทธะลงสู่ขุมนรกอเวจีตามพุทธดำรัสที่ทรงรู้ด้วยญาณ

พระอุบลวรรณาเถรี

รายที่ 3 ที่ถูกธรณีสูบอีกคนก็คือ #นันทมานพ แม้จะมิได้ทำร้ายต่อพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่ก็ได้ทำผิดขั้นร้ายแรงต่อพระอรหันต์

เหยื่อของนันทมานพ ก็คือ ท่านอุบลวรรณาเถรี สตรีผู้มีโฉมงดงาม เป็นที่หมายปองของชายผู้พบเห็นตั้งแต่พระราชาและเศรษฐี คหบดีทั่วไป แต่ท่านอุบลวรรณาเถรีเบื่อหน่ายในโลกีย์สุข ต้องการหาความสงบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงออกบรรพชาเป็นภิกษุณีตั้งแต่อายุได้ 16 ปี ในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

แม้ท่านอุบลวรรณาเถรีจะก้าวไปอยู่ในโลกแห่งความสงบ ปราศจากกิเลสใดๆ แล้ว แต่นันทมานพก็ยังฝังใจด้วยกิเลสตัณหา ปรารถนาจะลิ้มรสสวาทจากนางให้ได้ วันหนึ่งจึงไปแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อมที่ท่านอุบลวรรณา จำพรรษาอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว นันทมานพก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง และเมื่อท่านอุบลวรรณฯ กลับมานันทมานพก็เข้าปลุกปล้ำ แม้ท่านอุบลวรรณฯ จะร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะอยู่ในป่าเปลี่ยววิเวก พระอรหันต์อุบลวรรณาเถรีจึงได้กล่าวกับนันทมานพหวังจะเตือนสติให้เขาสำนึกในการกระทำว่า

“จงอย่าทำเช่นนี้เลย ความหายนะจะมาสู่ท่าน”

นันทมานพก็หาฟังไม่ ปลุกปล้ำท่านอุบลวรรณฯ จนสำเร็จดังใจปรารถนา แต่พอเขาก้าวลงจากแคร่ ธรณีก็เปิดอ้าสูบลงไปในขุมนรกอเวจี เพราะกรรมที่เขาก่อกับพระอรหันต์นั้นหนักหนาสาหัสนัก

การที่ท่านอุบลวรรณฯ ถูกกระทำเช่นนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของภิกษุ ภิกษุณี และพุทธบริษัททั้งปวงว่า เมื่อท่านอุบลวรรณฯ ได้รับการสัมผัสเช่นนี้ ย่อมจะฝืนความยินดีให้คล้อยตามไปด้วยยาก พระพุทธองค์จึงตรัสบอกกับพุทธสาวกว่า

“พระอรหันต์นั้นเป็นเช่นเดียวกับไม้ผุ ไม่มีกิเลสและไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตาที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เป็นฉันนั้น...”

นางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบ

รายที่ 4 ที่ถูกธรณีลงโทษเป็นหญิง และเป็นหญิงรายเดียวใน 5 รายที่ถูกธรณีสูบ ซึ่งได้ทำบาปกรรมต่อพระพุทธองค์โดยตรง นางนี้มีนามว่า #จิญจมาณวิกา หลงผิดไปรับอาสาจากพวกปริพพาชก ผู้เชื่อถือศรัทธาในนิกายหนึ่ง ซึ่งเกิดความอิจฉาริษยาที่เห็นคนไปเคารพเชื่อถือในคำสอนของพระพุทธองค์ จึงว่าจ้างให้นางจิญจมาณวิกาแกล้งทำเป็นหญิงมีครรภ์ โดยเอาไม้กลึงนูนไปผูกรัดไว้ที่หน้าท้องในเสื้อผ้า ให้ดูเหมือนนางกำลังมีครรภ์ แล้วไปเต้นร้องต่อหน้าพระพุทธองค์ขณะที่กำลังเทศนาแก่สาวกว่า

“ท่านสมณะโคดม จะมัวมาเทศน์หน้านวลอยู่ไย ทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้มิดูแล อย่ามัวเทศน์โปรดสัตว์อยู่เลย จงไปตัดฟืนไว้ให้ฉันดีกว่า เมื่อเวลาคลอดลูกจะมิลำบาก”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสดับจึงหยุดเทศนา กล่าวกับนางจิญจมาณวิกาด้วยท่าทีสงบว่า

“ดูก่อนภักคินี เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขาไม่รู้ด้วยหรอก จะมีเธอกับฉันสองคนเท่านั้นที่รู้”

พระอินทร์แปลงร่างเป็นหนู ไปกัดเชือกที่หน้าท้องของนางจิญจมาณวิกา

เหล่าพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ฟังต่างก็สงสัย ด้วยพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงปฏิเสธ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องแปลงร่างเป็นหนู ไปกัดเชือกที่หน้าท้องของนางจิญจมาณวิกา เมื่อเชือกขาดไม้ที่ทำให้ท้องนูนเหมือนคนท้องจึงหลุดลงท่ามกลางสายตาของพุทธบริษัท นางตกใจวิ่งหนีไปแต่พอลับตา ธรณีก็สูบเอาลงขุมนรกอเวจีไปอีกราย

นางจิญจมาณวิกาผู้นี้ เมื่อชาติก่อนเกิดเป็นนางอมิตตา ภริยาชูชก หรือพระเทวทัตที่จองเวรพระพุทธองค์มาหลายชาติ

นันทยักษ์ เหาะขึ้นกลางอากาศแล้วใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตน ฟาดลงมาหมายเศียรของพระสารีบุตร

ส่วนรายที่ 5 ที่ถูกธรณีสูบไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นยักษ์ มีนามว่า #นันทยักษ์ ซึ่งมีฤทธิ์เดชมาก วันหนึ่ง นันทยักษ์ได้เหาะเหินเดินอากาศมากับเหมตายักษ์ ผู้เป็นสหาย ครั้นผ่านมาถึงที่พระสารีบุตร สาวกของพระพุทธองค์กำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ทำให้อากาศธาตุในบริเวณนั้นว่างเปล่า ยักษ์สองสหายไม่สามารถเหาะผ่านไปได้ นันทยักษ์ผู้มีนิสัยพาล ชาติก่อนก็อาฆาตผูกพยาบาทพระเถระไว้ จึงทำปาณาติบาต ต่อพระสารีบุตรด้วยสันดานพาล เหมตายักษ์ ได้ทัดทาน แต่นันทยักษ์ก็ไม่ฟัง เหาะขึ้นกลางอากาศแล้วใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตน ฟาดลงมาหมายเศียรของพระสารีบุตร ความแรงของอิทธิฤทธิ์นันทยักษ์ทำให้ภูเขาระเนระนาดไปถึง 100 ลูก แต่พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในสมาธิหาเป็นอันตรายอย่างใดไม่ ยิ่งทำให้นันทยักษ์เกิดเร่าร้อนในอารมณ์ ตะโกนก้องไปทั่วทิศว่า

“เราร้อน....เราร้อน”

ทันใดก็ตกลงมาจากอากาศ พลันแผ่นดินก็เปิด สูบเอานันทยักษ์ลงขุมนรกอเวจีไปอีกราย นับเป็นรายที่ 5 ในสมัยพุทธกาล

🌿ใบไม้หนึ่งกำมือ คืออริยสัจ 4

🌿ใบไม้หนึ่งกำมือ คืออริยสัจ 4

ขอบเขตของพระพุทธศาสนา เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ทั้งนั้น
เพื่อความดับสนิทแห่งทุกข์
จุดหมายปลายทางที่เรามาเป็นชาวพุทธ
ก็เพื่อเราจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ทุกข์

อะไรที่เกินจากเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุของความทุกข์ เรื่องความดับสนิทของทุกข์ เรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันนั้นไม่ใช่พุทธแท้

คำสอนของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ อยู่ใน 4 ประเด็นนี้เอง
เราเรียนเรื่องทุกข์ ให้เข้าใจว่าอะไรคือตัวทุกข์
เรียนเรื่องเหตุของตัวทุกข์ เรียกว่าตัวสมุทัย
เรียนเรื่องนิโรธ คือความดับสนิทแห่งทุกข์
เรียนเรื่องมรรค วิธีปฏิบัติเพื่อจะดับตัวสมุทัย เพื่อจะดับเหตุของทุกข์
มรรคนี่ไม่ใช่เป็นตัวที่ทำให้เกิดนิโรธ ไม่ใช่ตรง ๆ อย่างนั้น มรรคที่เราปฏิบัตินี่เพื่อดับเหตุของทุกข์ เมื่อเหตุของทุกข์ดับสนิทไปแล้ว จิตมันก็ถึงนิโรธ คือถึงความพ้นทุกข์โดยอัตโนมัติ

ฉะนั้น เราเรียน 4 เรื่องนี้ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุของทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
ถ้าเกินจาก 4 อย่างนี้ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

ธรรมะทั้งหมดของพระพุทธเจ้า
อยู่ในเรื่องของทุกข์ เหตุของความทุกข์
เรื่องของความดับสนิทแห่งทุกข์
เรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อความดับสนิทแห่งทุกข์
มีอยู่เท่านี้เอง เกินจากนี้ ไม่ใช่คำสอนที่สำคัญแล้ว
เป็นคำสอนที่ผสมผสาน ยอมให้อย่างอื่นเข้ามาปน ๆ
เพราะคำสอนแท้ ๆ มีเท่านี้เอง เรียกว่าใบไม้หนึ่งกำมือ ใบไม้กำมือเดียว

ฉะนั้น ถ้าใครเขาถามเรา ใบไม้หนึ่งกำมือที่พระพุทธเจ้าพูดถึง มีกี่ใบ
ตอบให้เสียงดัง ๆ ว่ามี 4 ใบ หนึ่งกำมือนี้ คืออริยสัจ 4

-- หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 ไฟล์ 611124A ซีดีแผ่นที่ ๗๙
https://www.dhamma.com/fourleaves/

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...