วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

วิกฤติวัย40+

วิกฤติวัย 30+

1)
A อายุ 32 ปี

A ทำงานที่บริษัทอินเตอร์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ไต่เต้าจากตำแหน่งหนูน้อยจูเนียร์จนตอนนี้ตำแหน่งใหญ่โต

"เคยคิดว่าจะอยู่สัก 2-3 ปี แต่ทำไปทำมานี่จะ 8 ปีแล้ว จนคนรุ่นเดียวกับฉันลาออกย้ายงานกันไปหมดแล้ว" A บอก

A รักที่ทำงานแห่งนี้และหวังจะเติบโตไปกับบริษัท ที่นี่คงเป็นเรือนตายของ A แต่...

"แต่ความจงรักภักดีมีราคาของมัน" A ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกว่า

"เรื่องตลกของชีวิตมนุษย์เงินเดือนก็คือ บริษัทไม่มีทางจ่ายให้เราได้มากเท่ากับคนที่ย้ายมาจากที่อื่น ต่อให้เราจงรักภักดีไม่คิดลาออกก็เถอะ รอให้บริษัทขึ้นเงินเดือนให้ตามระบบยังไงก็ไม่มีทางขึ้นได้เท่ากับลาออกไปอยู่ที่อื่นหรอก และเผลอๆ ลาออกแล้วกลับมาใหม่ยังได้เงินเดือนเยอะกว่าอยู่ยาวรวดเดียวอีก นี่เห็นตำแหน่งฉันสูงขนาดนี้แต่เงินเดือนต่ำเตี้ยเรี้ยดิน ลูกน้องเก่าฉันทำงานไม่กี่ปีลาออกไปย้ายงานทีเดียวเงินเดือนสูงกว่าฉันอีก!"

"นี่ไงล่ะราคาของความจงรักภักดี สุดท้ายฉันก็คือของตายของบริษัท ฉันเพิ่งมาตาสว่างเอาตอนที่ทำงานมาจนจะย้ายไปที่ใหม่ก็ยากแล้ว สามสิบกว่าแล้วนะแก ไม่ใช่เด็กๆ แล้วลาออกไปจะไปทำอะไรฉันยังไม่รู้เลย เศรษฐกิจแย่แบบนี้ด้วย"

"ทุกวันนี้เข้าเว็บหางานก็ไม่มีงานอย่างที่อยากทำ งานที่อยากทำก็ดันไม่ให้คุณค่ากับเรา คือ...จะมาบอกว่าทำงานแล้วได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้ ได้ความภูมิใจ แต่ไม่ให้เงินด้วยก็ไม่ได้นะโว้ย คนเราต้องกินต้องใช้ พ่อแม่ต้องดูแล อายุสามสิบกว่าแล้วความมั่นคงมันก็ต้องมีได้แล้วนะเว้ย" A พรั่งพรูมาเป็นชุด

"เจ็บสัสๆ ทำไมความจงรักภักดีแม่งทำให้เรากลายเป็นของตายของบริษัทวะ"

A เหมือนคนอกหัก แต่อกหักจากงานที่ตัวเองรัก เป็นรักข้างเดียว จะเลิกก็เคว้งคว้าง จะอยู่ต่อก็รู้สึกเป็นของตายที่ไม่มีคุณค่า ศรัทธาก็ไม่เหลือ ความมั่นใจก็มลายสิ้น

เจ็บสัสๆ อย่างที่ A บอก

A ตัดสินใจขอหัวหน้าขึ้นเงินเดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ในชีวิต A ไม่เคยทำเลย เพราะคิดว่าเมื่อทำงานดีก็ควรได้รับการตอบแทนโดยไม่ต้องร้องขอ และก็อาจจะเพราะเมื่อก่อน A รู้สึกกระดากที่ต้อง "ขอ" แต่ความจริงในชีวิตก็คือ เราจะไม่มีวันได้สิ่งที่เราต้องการ ถ้าเราเพียงแต่รอให้มันลอยลงมาจากฟ้า A คิดว่า เอาวะ ผลงานของ A ก็น่าจะเป็นข้อต่อรองให้มีการพิจารณาเพิ่มเงินเดือน ถ้ายังเห็นว่า A มีคุณค่า

"นั่นแหละ และฉันก็ลาออก"

บริษัทของ A หาคนใหม่มาแทน A ได้อย่างรวดเร็ว ทุกชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่...

"และเท่าที่บังเอิญเสือกไปรู้ บริษัทก็จ้างคนใหม่มาแทนที่ฉันด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าฉันมากกกกก แต่ได้ข่าวว่าทำงานไม่ค่อยดีเท่าไร ทำงานได้หนึ่งปีก็ลาออกไปที่ใหม่ นี่บริษัทเก่าก็มาตื๊อให้ฉันกลับไปอยู่ เป็นไงล่ะ!"

"และจะกลับไปไหม" ฉันถาม

A หัวเราะลั่น

"แต่ความจงรักภักดีมีราคาของมันไม่ใช่เหรอวะ" A บอกก่อนจะจิบแชมเปญ

ไม่ว่าแชมเปญขวดนั้นจะเปิดเพราะฉลองให้กับการ "กลับ" หรือ "ไม่กลับ" ไปที่ที่เขาจากมาก็ตาม

ฉันรู้ว่าเส้นทางของ A จะไม่เหมือนเดิม

------------------------------

2)

B อายุ 33 ปี

B ทำงานในบริษัทที่มีภาพลักษณ์ดีเลิศ งานที่ B ทำคือการปั้นโครงการช่วยเหลือสังคมให้มีสุขภาพดี แต่...

"It's just another bullshit job ว่ะ" B บอก

"คือก่อนที่จะโครงการเพื่อสังคมให้คนมีสุขภาพดีเนี่ย บริษัทกูช่วยทำดีกับคนทำงานใกล้ตัวอย่างพนักงานก่อนได้ไหมวะ ใช้กูเยี่ยงทาส ให้กูทำโครงการเพื่อให้คนสุขภาพดีแต่ให้กูทำงานหามรุ่งหามค่ำ ประชุมทีด่าอย่างกับไม่ใช่คน เครียดจะตายห่าอยู่ทุกวันเนี่ยนะ สุขภาพพนักงานล่ะดีเชี่ยๆ"

แต่ B ก็ทนอยู่ที่นี่มาเพราะ "เงิน" ดี B เคยเดินเข้าไปลาออกแต่ก็ได้รับข้อเสนอใหม่ที่ทำให้ B เปลี่ยนใจ และเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง

B ไม่เคยอยากตื่นมาทำงานเลยสักวันจนต้องสะกดจิตตัวเองว่า เอาวะ อย่างน้อยทนโดนด่าไปอีกไม่กี่วันก็ได้เงินแล้ว

"เมาเงิน" B ว่าอย่างงั้น

"แต่พอถึงจุดหนึ่ง ฉันถามตัวเองว่า เฮ้ย! แล้วอะไรคือความภูมิใจในชีวิตฉัน อะไรคือความสุขในชีวิตฉัน เงินเดือนที่ฟาดหัวฉันเยอะๆ นี่ฉันจะเอาไปทำอะไรวะ เอาไปรักษาไมเกรนกับโรคกระเพาะ เพื่อ?! แล้วนี่ฉันแม่งเป็นอะไรวะ โดนเอาเงินฟาดก็ยอมให้เขาด่าแล้ว คุณค่าของฉันคืออะไรวะ"

B ตัดสินใจลาออกแม้บริษัทจะยื่นเงินเดือนใหม่ที่เยอะกว่าเดิมให้ B ให้เหตุผลกับหัวหน้าว่า

"ให้เงินเท่าไรผมก็ไม่ทำครับ ผมอยากมีชีวิตที่ดี และพี่ครับ ผมไม่ได้อยากได้อะไรมากไปกว่าการที่พี่จะพูดดีๆ กับผม และพี่ว่ามันไม่ตลกเหรอครับพี่ เราทำโครงการสวยหรูช่วยให้คนมีสุขภาพดี แต่งานนี้ทำให้พวกเราสุขภาพพัง"

"แล้วหัวหน้าแกว่าไง" ฉันถาม

"เขาแค่ถามฉันว่า อยากได้เท่าไร" B บอก "ฉันเลยถามเขากลับไปว่า...

แล้วพี่คิดว่าชีวิตผมมีค่าเท่าไรล่ะครับ"

B ทำงานที่ใหม่ด้วยเงินเดือนที่น้อยกว่าเดิมมาก แต่ B พบว่า B ไม่เคยต้องตื่นมาสะกดจิตตัวเองให้ต้องอยากทำงานอีกเลย

"แล้วงานใหม่ของแกเป็นไงวะ" ฉันถาม

"มันไม่ใช่ Just Another Bullshit Job" B นิยามงานใหม่ของเขาแบบนั้น

งานใหม่ของ B ไม่ได้ช่วยให้สังคมสุขภาพดีขึ้น แต่มันทำให้ B รู้สึกว่าตัวเองมีค่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

"แล้วพี่คิดว่าชีวิตผมมีค่าเท่าไรล่ะครับ" B ไม่ได้ถามแค่หัวหน้า

แต่กำลังถามตัวเอง

------------------------------
3)

C อายุ 32 ปี

ถ้ามีแบบฟอร์มให้กรอกชีวิตในอุดมคติของ C คงจะมีคำว่า "ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน" อยู่ในนั้น ชีวิตของ C คือการทำงาน ภาพที่ฉันเห็น C มาตลอดคือเป็นคนที่ทำงานหนักมาก (มาก - ขอย้ำ)

ฉันเคยถาม C ด้วยคำถามแบบเดียวกับในนิตยสารว่า อยากให้คนจดจำ C ว่าอะไร คำตอบของ C คือ อยากให้จำว่า C คือ "คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน" จนกระทั่ง...

"เป้าหมายในชีวิตตอนนี้มันเปลี่ยนไปว่ะ" C บอก

"เราพบว่าที่ผ่านมาเราใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการสร้างธุรกิจให้คนอื่นเติบโต และเราก็เรียกว่านั่นคือความสำเร็จ แต่หันไปดูพ่อแม่เราแก่ลงทุกวัน ร่วงโรยลงทุกวัน เราทำงาน - ทำงาน - ทำงาน แล้วหันมาอีกที เฮ้ย...พ่อแม่เราแก่ขนาดนี้แล้ว เราจะอยู่ด้วยกันอีกกี่ปีวะ

บางทีเราก็สงสัยว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราอยากทำงานให้ออกมาดีที่สุด แต่วันวันหนึ่งเราต้องรับมือกับคนซึ่งปฏิบัติต่อคนทำงานแย่มาก เราทำงานหามรุ่งหามค่ำ เครียดก็เครียด ทั้งหมดนี้เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับคนที่ทำไม่ดีกับเรา คนที่ด่าเรา เพื่อให้เราได้ชื่อว่าเรามีความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่มาคิดดู เราไม่มีเวลาให้พ่อแม่เลยว่ะ มันใช่เหรอวะ มัน-ใช่-เหรอ

เรามาคิดนะเว้ย เรามาทำงานเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ เกิดพ่อแม่เราตายขึ้นมา แกเชื่อไหม บริษัทจะทำแค่ส่งพวงหรีดสวยๆ มาให้เรา แต่หลังจากนั้น เขาก็จะปฏิบัติกับเราอย่างเดิม เขาก็จะด่าเราเหมือนเดิม แต่เฮ้ย...พ่อแม่เราตายแล้วนะเว้ย เราเอาพ่อแม่เราคืนมาไม่ได้แล้ว

เราเคยคิดมาตลอดนะว่า พอมีหน้าที่การงานที่ดี วันนั้นพ่อแม่ก็คงภูมิใจในตัวเราเอง แต่เราจะภูมิใจไหมวะว่าตัวเองบ้างานจนไม่มีเวลาให้พ่อแม่ เราจะภูมิใจไหมว่าเราแม่งโคตรทำงานเก่งเลย แต่เป็นลูกที่ไม่ดูแลพ่อแม่

เราไม่อยากทำงานที่มันเอาชีวิตเราไปหมดจนเราไม่มีเวลาให้ครอบครัว เราไม่อยากได้ชื่อว่าเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เราต้องมาเสียใจอยู่ตลอดชีวิตว่าน่าจะมีเวลาให้พ่อแม่มากกว่านี้"

C ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ ใครๆ ก็พากันสงสัยว่า C นึกอะไรขึ้นมาถึงลาออกจากบริษัทระดับท็อปของประเทศแบบนั้น

เท่าที่รู้ งานใหม่ของ C ทำให้เขาได้กลับบ้านไปทานข้าวเย็นกับพ่อแม่หลังเลิกงานเสียที

"เป้าหมายในชีวิตตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วว่ะ" คงเหมือนอย่างที่ C บอก

ถ้าไปถาม C ตอนนี้ว่าชีวิตในอุดมคติคืออะไร C คงตอบว่า ชีวิตที่ได้มีเวลาดูแลพ่อแม่บ้าง

-------------------------

4)
D อายุ 34 ปี

D เคยเป็นสาวเปรี้ยวที่ประกาศตัวไว้ว่าไม่อยากมีลูก (แต่ไม่ได้แปลว่าไม่อยากมีผัว) "มีลูกเหนื่อยตายห่าเลย" นางเคยบอกแบบนั้น แผนการในชีวิตหลังแต่งงานของนางคืออยู่กันแค่สองคนสองสามีภรรยา

คอนเซ็ปต์คือผสมพันธุ์ได้แต่ไม่สืบพันธุ์

ทุกวันนี้ D แต่งงานแล้ว และหลังจากแต่งงาน...

"มีลูกแล้วรู้สึกยังไงวะ" ฉันถาม

"หนักนมเชี่ยๆ เลยค่ะมึงขา นมใหญ่อยู่แล้วใหญ่กว่าเดิมอีก" นางตอบ

อย่าได้คาดหวังว่านางจะตอบอะไรฟุ้งๆ ฝันๆ แบบ "ฉันรู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงเต็มตัว" หรือ "ชีวิตครอบครัวของฉันสมบูรณ์ได้เพราะลูก"

ก็ไหนว่าไม่อยากมีลูกไง...คุณคงคิดอย่างนั้น

"เรื่องของเรื่องคือฉันนับวันผิด ปกติต่อให้แต่งงานแล้วฉันก็ใช้ถุงยางตลอดเว้ย เพราะไม่อยากมีลูก วันนั้นครั้งเดียวไม่มีถุงยาง ฉันก็นับหน้าเจ็ดหลังเจ็ด โอเค! วันนี้ปลอดภัย ลุยเลย! เท่านั้นแหละค่า! ไม่รู้อีท่าไหนได้ลูกสาวมาในท้องเลยค่า! ผัวหัวเราะใหญ่เลยค่ะว่าทีเดียวอยู่!"

ไม่รู้อีท่าไหนนี่คงมีแต่นางและสามีเท่านั้นที่รู้

"เรื่องมีลูกนี่ไม่เคยมีอยู่ในแผนการชีวิตเลยค่ะมึงขา อารมณ์แบบแม่ๆ อยากมีลูกนี่ไม่เคยมีในหัว ผิดแผนไปหมดเลยว่ะ นี่ท้องโตขนาดนี้แล้ว แพ้ท้องมันไม่สนุกหรอกนะ ฉันถึงสงสัยว่าคนที่เขามีลูกกันหลายๆ คนนี่เขาทนแพ้ท้องไหวได้ไงวะ"

เรายืนอยู่บนรถไฟฟ้าที่แน่นเอี๊ยด D ท้องใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่มีใครลุกให้นั่ง คนคงคิดว่านางอ้วน ไม่คิดว่านางท้อง แต่ D เองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เธอยืนด้วยสองขาของเธอและมีอีกหนึ่งชีวิตในท้อง

"มันอาจจะผิดแผน แต่ฉันก็รู้แหละว่าฉันจะเลี้ยงลูกให้ดีได้ ถึงเวลามันก็ต้องทำได้แหละ คงเหมือนทุกเรื่องนั่นแหละ ตอนแรกอาจจะคิดไม่ออกว่าจะผ่านไปได้ยังไง แต่พอถึงเวลาก็ต้องทำได้" D บอกด้วยความมั่นใจ นางอาจจะหนักอกแต่ไม่หนักใจ

"เรารู้ว่าแกทำได้" ฉันบอก

ชีวิตก็เป็นแบบนั้น มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ใช่ว่าจะเป็นไปตามที่เราออกแบบได้เสมอ

เรื่องบางเรื่อง เราไม่เคยรู้หรอกว่าจะรับมือกับมันได้อย่างไรจนกว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับเรา

และบางทีจะรับมือกับมันได้อย่างไรอาจไม่สำคัญเท่ากับใจบอกว่าเราจะรับมือกับมันได้หรือเปล่า

"แต่พอถึงเวลาก็ต้องทำได้" D บอก

-----------------------

ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...