ขอบอกว่า ไม่ต้องรู้เยอะอะไรหรอกครับ ยิ่งรู้มากอ่านมากมันจะไปขวางการปฏิบัติได้นะ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจําวัน แค่ " รู้สึกตัวบ่อยๆ " ก็พอแล้วนะ และพอเราได้ปัญญาญาณแล้ว ธรรมะทั้งหลายเราจะรู้ได้เองและพอไปฟังไปอ่านธรรมของพระอาจารย์ ตอนนี้เราจะยิ่งรู้ได้ลึกซึ้งและเข้าถึงความจริงได้มากกว่าเดิมมากนะครับ
ให้รับสัมผัสถึงสิ่งต่างที่มากระทบกาย(เอาแค่หมวดกายพอ) แค่ให้รู้ เช่นเดินไปธรรมดาปกติ เวลาเท้ากระทบพื้น ก็ให้รู้สึกตัวเป็นสติ "แค่รู้" เวลาลมพัดผ่านกายก็ให้รู้ จุดที่ต้องรู้นี้สําคัญมากๆ ให้รู้แค่รู้ถึงความรู้สึกที่กายถูกโดนลมเท่านั้น อย่า ไปให้ความหมายใดๆๆ อย่าไปคิด แค่รู้ว่ารับรู้ถึงความรู้สึกตัว โดยไม่มีอะไรต่อ ไม่คิดต่อ ไม่มีความหมายต่อ เช่นลมพัดกระทบกาย แค่ รู้ แต่ไม่ไปคิดแปรความหมายว่าลมแรงลมช้าลมร้อนลมเย๊น "แค่รู้สึกตัว" อย่าไปให้ความหมายแม้แต่ไปคิดว่าเป็นลมด้วย นี้หล่ะคือการรับรู้ ถึงความรู้สึกตัวที่มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เป็นสติที่บริสุทธิ์ ปราศจากความคิด เป็นการเจริญวิปัสสนา แบบสติปัฏฐาน4 ในหมวดกาย ครับ ทําอันนี้ให้ได้กันทุกคนนะ สิ่งนี้เมื่อทําบ่อยๆแล้วจะทําให้สติมีกําลังมากขึ้นมาเรื่อยๆ จนก้าวหน้าในวิปัสสนาอย่างมากๆ หลังจากที่ รู้สึกในชีวิตประจําวันได้บ่อยแล้ว และให้ดีให้ทําควบคู่ไปกับการตามรู้ลมหายใจ ไปในชีวิตประจําวันด้วย ให้ทําบ่อยๆในทุกวันที่นึกได้ ให้ทําไปเรื่อยๆ อย่าไปเพ่งอย่าไปเกร็ง ทําไปเรื่อยๆเล่นๆ อย่าอยากได้สภาวะ แล้วจะได้เองโดยไม่รู้ตัว ถ้าไปอยากได้ไปคิดมากไปลังเลสับสนตอนทํา มันจะไม่ได้อะไร ให้ทําไปเลย ทําเล่นๆ ทําได้อย่างนี้ มรรคผลก็ไม่ไกลแล้วครับ
ให้รู้แค่ความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆครับ เมื่อไหร่เผลอ ก็ให้รู้ตัว ให้กลับมา รู้ความรู้สึกตัวพอ การรู้ความรู้สึกตัวจะค่อยๆเด่นชัดขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการเจริญสติวิปัสสนา จาก" ตอนแรกที่รู้แค่แว๊ปเดี๋ยว " แค่แว๊ปเดียว เท่านั้นนะ ไม่ต้องไปพยายามรักษาความรู้สึกตัว ถ้าไปพยายามให้รู้สึกตัวต่อไปนานๆ จะกลายเป็นการพยายามไปรู้สึกตัว จะไม่ใช่ความ" รู้สึกตัวที่บริสุทธิ์ " จะเป็น" การคิดรู้สึกตัวแทน " แยกดีดีนะครับ ตรงนี้หล่ะ ที่ไปสับสนกันทําผิดกันมาก ทําให้วิปัสสนาไม่เจริญ ปัญญาญาณที่จะรู้ธรรมจึงไม่เกิดกันครับ
การเดินจงกรม
ให้เดินสบายๆแบบเบาๆโล่งๆไม่ได้คิดอะไรไม่ได้ให้ความหมายใดๆ " รับรู้ความรู้สึกได้ที่กาย " เช่นเท้ากระทบพื้นก็ให้รู้แล้วจบ (ไม่ใช่ไปตามรู้เท้าก้าว กลายเป็นไปคิดเพ่งเท้าก้าวไป จะกลายเป็นสมถะ) ทําอย่างนี้ถึงเป็นการเจริญวิปัสสนาครับ หรือรู้วูบๆวาบๆแว๊ปเดียว ตอนลมพัดผ่านกาย หรืออยู่เฉยๆวูบผ่านกายผ่านกระประสาทกระแสเลือดในกาย แค่รู้ นั้นหล่ะ รู้ความรู้สึกตัวแล้ว
การเดินจงกรมถ้าจะทําสมถะในการเดินจงกรมให้เพ่งไปที่การก้าวย่างของเท้าก็จะได้สมถะเหมือนกันครับ เช่นตามรู้การก้าวย่างของขาเท้า จะได้สมถะครับ แต่ถ้าไม่ตามดูตามรู้ แต่แค่รู้แว๊ปๆ ตอนเท้ากระทบพื้น เกิดรู้ความรู้สึกตัว จะเป็นการเจริญสติความรู้สึกตัว จะเป็นการเจริญวิปัสสนาญาณเพื่อจะเอาปัญญาญาณในการรู้ธรรมได้เอง เพื่อเอามรรคผลครับ แต่สรุปทําอะไรแล้วดีแล้วชอบ ทําไปก่อนเลยครับไม่เป็นไร พอสมถะเข้มแข็งขึ้นมากๆ เดี๋ยวพอมาเจริญวิปัสสนามันก็จะไปได้เร็วมากๆครับ แต่ถ้าจะเอาแต่สมถะแล้วไม่เอาวิปัสสนามาช่วยในตอนท้าย ปฏิบัติไปมากๆก็ไปได้แค่พรหมครับ ไม่ถึงนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น