เหตุผลสำคัญที่เราและลูกหลานต้องเลิกดื่มนม
====================
คนเราเชื่อฝังหัวมาตลอดว่านมวัวเป็นอาหารชั้นเลิศดีต่อสุขภาพ เเต่ผมขอเรียนว่า ความเชื่อนี้เป็นจริงหากคุณเป็นลูกวัว (แต่ไม่จริงเลยหากคุณเป็นลูกคน)
Doctor Walter Willett หัวหน้าภาควิชา Nutrition at Harvard School of Public Health เคยวิจารณ์ว่าการกำหนดให้นมวัวเป็นสารอาหารจำเป็นต่อการบริโภคนั้นเป็นเรื่องน่าขบขันสิ้นดี ผลการศึกษาอย่างยาวนานของท่านพบว่านมไม่ได้ช่วยลดอัตราการเเตกหักของกระดูก ตรงกันข้ามผลการศึกษาของกลุ่มพยาบาลจำนวนมากมายที่พบว่านมเเละผลิตภัณฑ์นมกลับทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงกระดูกเเตกหักมากขึ้น 50% การทานนมเเละผลิตภัณฑ์นมให้น้อยหรือไม่ทานเลยกลับพบว่ามีกระดูกที่แข็งแรงกว่า ดังเช่นประเทศในเอเซีย อาฟริกาที่บริโภคนมเเละเเคลเซี่ยมน้อยมากนั้นมีอัตราผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนตำ่ที่สุด
มีการศึกษามากมายที่บ่งชี้ว่าการเสริมอาหารด้วยแคลเซี่ยมไม่มีผลช่วยลดอัตราเสี่ยงกระดูกเเตกหักเเต่อย่างใด แต่กลับพบว่าวิตามิน D ต่างหากที่มีผลป้องกันกระดูกโดยตรง นอกจากนี้แคลเซี่ยมยังอาจเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งมากขึ้น มีรายงานการศึกษาว่าการทานอาหารจากผลิตภัณฑ์นมเเละแคลเซี่ยมทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายกว่า 30%-50% นอกจากนี้การทานนมและอาหารจากผลิตภัณฑ์นมยังเพิ่มสารคล้ายฮอร์โมน (Insulin-like growth factor 1) ซึ่งเป็นตัวส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้มากขึ้น
อันที่จริงเเล้วอาหารเสริมด้วยเเร่แคลเซี่ยมนั้นมีประโยชน์ต่อการป้องกันมะเร็งลำไส้ เเต่ไม่ได้หมายถึงแคลเซี่ยมที่ปนมาในนมเเละผลิตภัณฑ์จากนม ยังมีผลข้างเคียงอีกประการที่พบได้บ่อยมากคือ ประมาณ75% ของประชากรโลกไม่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยนมวัวได้อย่างสมบรูณ์ โดยเฉพาะไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโต้สในนม (lactose intolerance)ได้ก่อให้เกิดปัญหาภายในกระเพาะอาหารเเละลำไส้ ภูมิเเพ้
Doctor Walter Willett จึงสรุปข้อแนะนำว่า
1) ร่างกายต้องการแคลเซี่ยมก็จริง เเต่ไม่ได้มากมายอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ทานตั้ง 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
แคลเซี่ยมอาจไม่สามารถป้องกันกระดูกเปราะเเตกดังที่เชื่อๆกันมา
ผู้ชายอาจไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารด้วยแคลเซี่ยมและวิตามิน D แต่จำเป็นสำหรับผู้หญิงเท่านั้น
นมอาจทำให้มีผลเสียต่อสุขภาพได้
ล่าสุดนักวิจัยของ USDA ได้ค้นหาความจริงเพิ่มเติมหลังได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับโฆษณาของนม ได้ออกมาสรุปว่า
1) นมไม่ได้มีคุณค่าต่อสมรรถนะของนักกีฬาเเต่อย่างใด
2) ไม่มีหลักฐานหนักเเน่นใดๆที่จะสนับสนุนได้ว่านมทำให้กระดูกเเข็งเเรงป้องกันกระดูกพรุน ตรงกันข้ามโปรตีนนมจากสัตว์อาจทำให้สูญเสียมวลกระดูก
3) พบความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคนมและมะเร็งต่อมลูกหมาก
4) ไขมันนมเต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัว
5) กว่า75%ของประชากร ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลนมได้เกิดอาการ lactose intolerance
6) นมเเละผลิตภัณฑ์นมทำให้ลำไส้มีกลุ่มอาการแปรปรวน( irritable bowel syndrome) นอกจากนี้ยังมีส่วนให้เกิดอาการภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง หูอักเสบ เบาหวานชนิดที่ 1 (type I diabetes) ท้องผูกเรื้อรัง โลหิตจางในเด็ก
กล่าวโดยย่อ ธาตุอาหารในนมจัดเป็นสารอาหารแปลกปลอมสำหรับเซลล์ร่างกายของมนุษย์
ปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์การเเพทย์เเละโภชนาการล้วนเชื่อกันแล้วว่าคนเราควรสรรหาแร่แคลเซี่ยม โปตัสเซี่ยม ไขมัน โปรตีน จากพืชผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญญพืช สาหร่าย งา เนื้อปลา ไม่ควรหวังพึ่งจากนมและผลิตภัณฑ์นมอีกต่อไป และที่แน่นอนที่สุดก็คือหากต้องการกระดูกที่แข็งแรง อย่าให้ขาดวิตามิน D ไม่ใช่นมอย่างที่เคยเชื่อกันมา !!!!
เขียนเเละเผยแพร่โดย Dr. Mark Hyman แพทย์อเมริกันผู้เชี่ยวชาญสาขา Functional Medicine
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น