ทำไมต้องภาวนา
จิตเดิมนั้นประภัสสร กิเลสต่างๆจรมา ถ้าปุถุชนได้สดับธรรม และมีภาวนาเป็นเครื่องอยู่ ก็จะพ้นจากกิเลสได้
———-
ภิกษุ ท. ! จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร แต่จิต (ที่มีธรรมชาติประภัสสร) นั้นแล เข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลสอันเป็นอาคันตุกะจรมา เรากล่าวว่า บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความจริงข้อนั้น เพราะเหตุนั้น จิตตภาวนา ย่อมไม่มีแก่บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร แต่จิต (ที่มีธรรมชาติประภัสสร) นั้นแล เป็นจิตพ้นวิเศษจากอุปกิเลสอันเป็นอาคันตุกะจรมานั้นได้. เรากล่าวว่าอริยสาวกผู้มีการสดับ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงซึ่งความจริงข้อนั้น เพราะเหตุนั้นจิตตภาวนา ย่อมมีแก่อริยสาวกผู้มีการสดับ ดังนี้.
- เอก. อํ. ๒๐/๑๑ - ๑๒/๕๒ - ๕๓
(พระพุทธภาษิตนี้ มีความหมายลึกอยู่บางประการ จนทำให้มีผู้เข้าใจผิดไปว่า ถ้าจิตมีความเป็นประภัสสรตามธรรมชาติแล้ว ทำไมจึงเศร้าหมองได้เพราะอุปกิเลส; และว่า ถ้าจิตพ้นจากอุปกิเลสกลับไปสู่ความเป็นจิตประภัสสรอย่างเดิมแล้ว มันก็จะกลับเป็นจิตเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสได้อีกในภายหลัง สลับกันไปไม่รู้สิ้นสุด ดังนี้. แต่ความจริงมีอยู่ว่า ประภัสสรตามธรรมชาตินั้น ถูกครอบงำด้วยอุปกิเลสได้ จึงต้องทำการภาวนา คืออบรมจิตให้เปลี่ยนสภาพเป็นประภัสสรสมุจเฉท ซึ่งอุปกิเลสจะครอบงำไม่ได้อีกต่อไป. เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า ผู้รู้ความจริงเรื่องนี้เท่านั้น จึง ประสงค์การเจริญภาวนาอบรมจิต และอบรมจิตได้ตามประสงค์).
พุทธพจน์จากหนังสืออริยสัจจากพระโอษฐ์โดยท่านพุทธทาส
รูปวาดโดยหลวงพ่ออำนาจ โอภาโส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น