หลวงปู่มั่นท่านฟังเทศน์อยู่ตลอดเวลา
ครูบาอาจารย์ชั้นปรมาจารย์อย่างท่านหลวงปูใหญ่ปู่มั่น ท่านว่า
“ฟังเทศน์อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าอายตนะทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันรับอยู่ตลอดเวลา มีแต่เขามาแสดงธรรมให้ฟัง
นี่ไม่จำเป็นจะต้องฟังอะไรมากมายก่ายกอง ฟังแล้วก็น้อมเข้าไปสอนจิตใจตัวเอง สอนเจ้าของเองนั่นหละ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักตัวมัน เรื่องของจิต เป็นการกระตุ้นเตือนจิตใจตนเองอยูตลอดเวลา มันก็ได้ประโยชน์
เราอย่าส่งไปตามอารมณ์ภายนอก ดึงมันเข้ามาหาตัวเจ้าของเอง เพราะว่าต้นเหง้าเค้ามูลมันอยู่กับตัวของเรา”
อันนี้ก็เรียกว่าวิธีฟังเทศน์ทั่วๆ ไป เพราะว่าเครื่องรับของเรามีอยู่ทุกๆ คน อายตนะภายในมี ภายนอกก็ต้องมีเท่าๆ กัน มีดีกับชั่ว ๒ อัน เรื่องของความไม่ดีเราก็พยายามลดละ เรื่องของความดีก็พยายามบำเพ็ญ ให้เกิดให้มีขึ้น มันก็หมดเท่านั้น
ฟังอยู่ตลอดเวลา ได้ยินอยู่ตลอดเวลา เห็นอยู่ตลอดเวลา รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ก็ล้วนแต่เป็นธรรมะ
เวลาเรานั่งสมาธิ สังเกตดูในร่างกาย จิตใจของเรา ก็เรียกว่า “ดูธรรม”
มันจะมีปฏิกิริยาแบบไหน แสดงขึ้นมาในร่างกาย เราก็รู้อยู่ทุกระยะ ถ้าหากมีสติกำหนดจดจ่อ ดูอยู่ในเรื่องของตัวเอง มันไม่ส่งไปทางอื่น เรื่องอารมณ์ทางนอกพักไปเสียก่อน ไม่ต้องเกี่ยว มารู้อยู่ในตัวของเราเอง เพื่อรวบรวมพลังของใจให้มันเป็นก้อนใหญ่สักหน่อยจนกว่ามันจะมีความสงบ
คำว่าสงบในที่นี้ สงบจากอารมณ์ภายนอก มาสังเกตดูอยู่ในปฏิกิริยาซึ่งแสดงออกทางกาย วาจา และจิตใจของเรา มารู้อยู่ในส่วนภายในอันนี้ ก็เรียกว่า “เป็นผู้ตั้งสติไว้”
สติคือความระลึกรู้ เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง เป็นคู่ของใจ ประเภทรู้เหมือนกัน แต่ใจมันรู้ไปข้างหน้า มันไม่รู้ถอยหลัง ถ้าไม่มีกำหนดจดจ่อไว้
อุปมาเหมือนกับเรือ เรือไม่มีคนพายก็ไปตามเรื่องของมัน แต่ก็ไปได้เหมือนกัน ขวางลำไปตามเรื่อง เรือใหญ่ก็มีหางเสือ ถ้าหางเสือไม่ทำงาน มันก็ไปตามเรื่อง ขวางหน้าขวางหลังไปหละ ลักษณะมีสติคือ หางเสือทำงาน ไม้พายก็ทำงานตามหน้าที่ ทำให้เรือไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ นี่ฉันใด
การตั้งสติ กำหนดกับจิต ก็คล้ายๆ ทำนองเดียวกันฉันนั้น
จากหนังสือพระศรี มหาวีโร
พระผู้มากล้นตัวด้วยบุญบารมี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น