"ปฏิจจสมุปบาท หลวงปู่ฝั้น อาจาโร"
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ศิษย์รุ่นใหญ่สายพระกรรมฐานในกองทัพธรรมแห่งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
เหตุนี้จึงให้พากันนั่งสมาธิพิจารณาตัวของเรา กำหนดทุกข์ นี้เรื่องทุกข์ เรื่องสมุทัย นี่แหละความหลงของเรา ให้พากันเพ่งเล็งดู นี่ข้อสำคัญว่ามันเป็นอย่างนี้ อกาลิโก ไม่มีกาลเป็นอยู่เสมอ นั่งอยู่ก็ทุกข์ เป็นโทษ ให้พากันรู้จัก ทีนี้เมื่อฟังแล้ว เอหิปัสสิโก คำสอน
จงร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ท่านไม่ได้ให้ไปดูธรรมที่ไหน ท่านให้มาดูรูปธรรมนามธรรมนี้!
เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้มีสติ นั่งก็ดี นอนอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็ดี ให้มีสติอยู่ ให้มันรู้ มีสติสัมปชัญญะ นั่งก็รู้ให้รู้ว่านั่ง นอนเดินก็ให้รู้สึก สติของเราเพ่งเล็งอยู่อย่างนั้น การทำความสงบมิใช่อื่นไกล เพราะฉะนั้นก็ให้พากันเพ่งเล็งดู
มิใช่อื่นทุกข์ คือความเกิดน่ะเป็นทุกข์ เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อะไรทุกข์?
ทุกข์ที่สอง ‘ชราปิ ทุกขา’ ทุกข์เพราะความเก่าแก่ชรา คร่ำคร่าเพราะความเจ็บ ความไข้นั่นเป็นทุกข์ ไม่ใช่อื่นไกล ความเจ็บตรงโน้นปวดตรงนี้ ความชำรุดทรุดโทรมนั่นแหละ ความแก่มาถึงแล้ว ไม่ใช่เพราะอื่น ทุกข์เพราะอันนี้ มรณัมปิ ทุกขัง ทุกข์เพราะความตาย ไม่ใช่อื่นเป็นทุกข์
นี่แหละความทุกข์ทั้งหลาย ให้พากันพิจารณาดูสิ อะไรมันเกิด อะไรมันแก่ อะไรมันเจ็บ อะไรมันตายเล่า?
เหตุนั้น ท่านยังให้พิจารณา ‘ปฏิจจสมุปบาท’ ท่านให้กำหนดทุกข์ว่า ทุกข์มาจากไหน? อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยมาให้เกิดทุกข์?
ท่านให้พิจารณาทุกข์ว่ามันมาจากความตาย นี่ตายนี้เป็นเหตุปัจจัยมาให้ทุกข์ นี่ตายมาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมาให้ตาย มาจากโรคภัยไข้เจ็บ อาการทั้งหลายต่างมาเป็นเหตุปัจจัย อาการทั้งหลายเหล่านี้มาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมาจากชราความเก่าแก่ชราคร่ำคร่า อันความชราเก่าแก่คร่ำคร่ามาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจากชาติ คือความเกิดนี่มาจากไหน มันมาจากนี่ มันคดไปเป็นปฏิจจสมุปบาท 12 อันนี้ ความเกิดมาจากไหนเล่า เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจาก ‘ภพ’ คือเข้าไปตั้ง เข้าไปยึด เข้าไปถือไว้ ‘อารมณ์’ ของเรายึดไว้ ยึดมันก็ก่อภพขึ้น
อันนี้ภพมันมาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจาก ‘อุปาทาน’ กายยึดถือ
ทีนี้อุปาทานมาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจาก ตัณหาความทะเยอทะยานอยาก ความดิ้นรน ตัณหามาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจาก ‘เวทนา’ ทุกขเวทนา สุขเวทนา เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น ก็อยากหาความสุขเมื่อความสุขเกิดขึ้น ก็ไม่อยากให้ทุกข์เกิด
นี่มาจากเวทนา
ทีนี้เวทนามาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจาก ‘ผัสสะ’ ความกระทบถูกต้องนี่แหละผัสสะ อันนี้ผัสสะมาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัย มาจาก ‘อายตนะ’ เป็นบ่อเกิดแห่งอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
อายตนะมาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจาก ‘นามรูป’ นามรูปอันนี้มาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัย มาจาก วิญญาณ วิญญาณมาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัยมา มาจาก สังขาร สังขารมาจากไหน เป็นเหตุเป็นปัจจัย มาจาก อวิชชา นี่ขั้นต้นมันจบนี้
อวิชชา คือความหลงละ หลงสมมติ หลงภพ หลงชาติ หลงตน หลงตัว ‘อวิชชา ปัจจยา สังขารา’ เมื่ออวิชชาความหลงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารการปรุงแต่ง เมื่อสังขารมีแล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็ทำให้เกิดนามรูป ฯลฯ ให้พิจารณาทวนกระแสกลับ วิญญาณมีแล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปมีแล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ตา หู จมูก อายตนะมีแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะมีแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนามีแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหามีแล้วทำให้เกิดอุปาทาน อุปาทานทำให้เกิดภพ ภพมีแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ เมื่อเกิดชาติก็เป็นปัจจัยให้เกิดชรา ความชำรุดทรุดโทรมเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่า ความแก่เฒ่าชรามีแล้วทำให้เกิดพยาธิ ความเจ็บไข้พยาธิมีแล้วทำให้เกิดความตาย ความตายมีแล้วทำให้เกิดทุกข์
โสกปริเทวทุกขโสมนสสุปายาส นี่แหละ!
เหตุนี้จึงให้พากันนั่งสมาธิพิจารณาตัวของเรา กำหนดทุกข์ นี้เรื่องทุกข์ เรื่องสมุทัย นี่แหละความหลงของเรา ให้พากันเพ่งเล็งดู นี่ข้อสำคัญว่ามันเป็นอย่างนี้ อกาลิโก ไม่มีกาลเป็นอยู่เสมอ นั่งอยู่ก็ทุกข์ เป็นโทษ ให้พากันรู้จัก ทีนี้เมื่อฟังแล้ว เอหิปัสสิโก คำสอน
จงร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ท่านไม่ได้ให้ไปดูธรรมที่ไหน ท่านให้มาดูรูปธรรมนามธรรมนี้!
http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=36&wpid=0017
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น