วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ยามตื่น ยามนอน ยามฝัน จงตระหนักรู้ว่าตัวเองเป็นแสง

(75) “ยามตื่น ยามนอน ยามฝัน จงตระหนักรู้ว่าตัวเองเป็นแสง”     

        ต้องฝึกตระหนักรู้ว่า ตัวเองเป็นแสงในยามตื่นให้ได้ก่อน เพราะการฝึกตระหนักรู้ว่าตัวเองเป็นแสงในยามนอนหลับ และในยามฝันนั้นยากมาก ไม่ใช่ทุกคนที่ฝึกวิธีนี้ได้ วิธีนี้อาจเหมาะสำหรับคนที่เป็นศิลปิน หรือคนช่างฝันเท่านั้นก็เป็นได้

        จงสลายไปในความมืดมิด นี่เป็นวิธีฝึกภาวนาในห้องมืด หรือใช้ความดำมืดที่มืดสนิทในตอนนั้น โน้มนำจิตของเราเข้าสู่สมาธิภาวนา

      
        วิธีนี้ฝึกหลับตายลความดำมืด แล้วค่อยเปิดตามองความดำมืดที่เห็นจากภายในนั้น เอาความดำมืดที่เห็นข้างในออกมาสู่ข้างนอก รวมทั้งความดำมืดในจิตใจที่เกิดจากความผิดพลาดในอดีตด้วย หากเอาความดำมืดเหล่านั้นออกมาข้างนอกได้ ปมในใจเหล่านั้นก็จะค่อยๆ หายไปด้วย จนกระทั่งมันหายไปตลอดกาล
     

      
        จงหมั่นพัฒนาความมีสติรู้ตัวให้เกิดขึ้นบ่อยๆ โดยที่เมื่อใดก็ตามที่เราเกิดสติขึ้นมาว่า กำลังหลงไปคิดอยู่ก็ให้รู้ตัว และมีประสบการณ์อยู่กับ “สติ” ที่รู้ตัวว่าเพิ่งหลงไปคิดนั้น
     

      
       ฝึกเอาชนะความตายโดยการเข้าสู่ภาวะไร้ตาย โดยการฝึกอสุภกรรมฐาน โดยให้หัดมองศพคนตายที่กำลังถูกเผาโดยไม่ต้องคิด แค่มองดูเฉยๆ แค่รู้ แค่เห็นเฉยๆ เท่านั้น จากนั้นให้ฝึกกรรมฐานนี้โดยนอนกับพื้นราวกับตัวเองเป็นศพอยู่ แล้วจินตนาการว่าเปลวไฟกำลังเผาร่างกายของเราจากปลายเท้าขึ้นมาให้ตัวเราเป็นแค่ผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็นร่างกายของเราที่ค่อยๆ ถูกเปลวเพลิงเผาผลาญจนเป็นเถ้าถ่าน นี่เป็นวิธีการฝึกเพื่อเข้าถึงภาวะไร้อัตตาที่ดีมากวิธีหนึ่ง เพราะผู้ฝึกจะค่อยๆ ปล่อยวางอุปทานความยึดมั่นถือมั่นในรูปหรือกายของตนไปเอง เมื่อฝึกกรรมฐานนี้บ่อยๆ จนชำนาญ (ยังมีต่อ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...