จิตพุทธะ" กับ "การบรรลุธรรม" นั้นคนละอย่างกัน ยึดโยงกันไม่ได้
เราจะมียึดมั่นโยงใยว่าคนที่มีจิตพุทธะนั้นต้องบรรลุธรรมนั้น ___"ไม่ได้"
คนที่มีบารมีแก่กล้า มีจิตวิญญาณถึงขั้นเป็นพุทธะ ก็อาจจะยังไม่บรรลุธรรม แต่ "พร้อมบรรลุธรรมทันทีโดยไม่ต้องฟังธรรม" ก็เท่านั้น เช่น ผู้ที่ "ยอมละสักกายทิฐิ" ไปบวชเป็นสาวกพระพุทธเจ้า ก็เพียงปลงผม หรือห่มจีวรเท่านั้น "โดยไม่ต้องฟังธรรม" ก็บรรลุอรหันต์ได้ทันที เพราะจิตวิญญาณเขาเป็นพุทธะมีญาณตรัสรู้ได้ด้วยตนเองอยู่แล้วติดอยู่เพียง "สักกายทิฐิ"
เท่านั้นสิ้นไปด้วยการยอมเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเมื่อใด ก็บรรลุธรรมเมื่อนั้น ดังนั้น จึงมีคนที่เหมือนได้ธรรมขั้นตรัสรู้เองได้อยู่ แต่เขาอาจจะยังไม่ใช่พระอริยบุคคล จนกว่าเขาจะมีการละสักกายทิฐิได้ก่อน จึงจะบรรลุอรหันต์ได้ ซึ่งผู้ที่จะทำให้เขาละได้ก็มีแต่เพียง "พระพุทธเจ้า" เท่านั้นเอง
ดังนั้น ท่านต้องแยกแยะระหว่าง "ญาณตรัสรู้" ที่มีอยู่ในพุทธสาวก และ "อาสวขยญาณ"
ที่มีในผู้บรรลุอรหันต์ทั้งหลาย "เป็นคนละญาณกัน" เพื่อให้เข้าใจผู้ที่มีลักษณะพร้อมบรรลุธรรม
ผู้ที่มีจิตวิญญาณถึงพุทธะแล้ว แต่ยังไม่ได้บรรลุธรรมนั้นผมจึงขอใช้ "สมมุติบัญญัติ"
เรียกว่า "เซียนพุทธะ"
"จิตวิญญาณที่พร้อมบรรลุธรรม" ไม่จำเป็นต้องเป็น "พุทธะ" ก็ได้?
คือ จิตวิญญาณที่พร้อมบรรลุธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องมีวิวัฒนาการถึงขั้น "พุทธะ" ก็ได้ แต่ต้องมีวิวัฒนาการสูงระดับหนึ่งคือ "จิตวิญญาณตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไป" ที่ไม่ใช่มาร ล้วนพร้อมบรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธะเลย เช่น จิตวิญญาณโพธิสัตว์ (อยู่สวรรค์ชั้นที่สี่)
สามารถบรรลุอรหันต์ได้ เรียกว่า "อรหันตโพธิสัตว์" จิตวิญญาณพรหม สามารถบรรลุอรหันต์ได้ เรียกว่า "อรหันตพรหม" หรือแม้แต่จิตวิญญาณเทพ สามารถบรรลุอรหันต์ได้เรียกว่า "วิสุทธิเทพ" ก็มี เอาละ "นี่เป็นแค่ชื่อเรียก" เท่านั้น อย่าไปสับสนกับเพียงแค่การใช้คำซึ่งเป็นเรื่องสมมุติเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง สำหรับ "จิตวิญญาณที่ไม่มีวิวัฒนาการสูงพอ" คือ อยู่ในมิติที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไป ก็จะต้อง "กำเนิดใหม่" ให้อยู่ในระดับมนุษย์ขึ้นไปก่อน จึงจะ "พร้อมรับธรรมได้" นั่นเอง
ดังนั้น บางนิกาย จึงเกิดการแตกกันเพราะเหตุเรื่องนี้ เช่น ทางนิกายเซน จะมุ่งเน้นให้มี "โพธิจิต" หรือ "จิตโพธิสัตว์" แล้วบรรลุด้วยการถ่ายทอดธรรมโดยรับจากอาจารย์ (ไม่ได้ตรัสรู้เอง) จนมีคำพูดติดหูว่า"ศิษย์โง่ มาเรียนเซน" บ่อยๆ
ในขณะที่วัชรยานจะเน้น "พุทธะ" หรือการเข้าถึงการตรัสรู้ด้วยตนเอง แล้วจึงละสักกายทิฐิ มา "ต่อสายธรรม" ในภายหลัง (เพื่อไม่ให้เป็นเซียนพุทธะ) ดังนั้น จึงมุ่งเน้นการเข้าถึงด้วย"ประสบการณ์ตรง" ไม่ผ่านการบอกเล่าหรือรับธรรมจากอาจารย์ท่านใด
ไม่มีใคร "อ่านตำราเองแล้วบรรลุเองได้" เพราะไม่ใช่ยุคพระปัจเจกฯ
นี่ยังไม่ใช่ยุคพระปัจเจกฯ การใช้ตำรา อ่านตำราธรรม จึงทำได้เพียง "สุตมยปัญญา" เท่านั้น ต่อให้มีความเข้าใจสูงมากเท่าใด มันก็ยังไม่ใช่ "ภาวนามยปัญญา" แม้ว่าไปเพียรภาวนาเอง ก็ใช่ว่าจะบรรลุธรรมเองได้ เพราะไม่ใช่ยุคพระปัจเจกฯ ที่จะมาบรรลุธรรมเอง แต่มีบ้างที่คนบางคนจะเข้าถึง "พุทธะ" ตรัสรู้ถึงนิพพานได้เอง แต่เขาก็ไม่อาจเรียกได้ว่าบรรลุอริยผล เรียกได้ว่าบรรลุธรรมอย่างอื่น เช่น บรรลุเซียน (แต่ไม่ถึงขั้นโสดาบันเพราะยังมีสักกายทิฐิอยู่)
เขาก็สามารถตรัสรู้ธรรมถึงนิพพานได้เอง แต่เขายังไม่ได้นิพพาน เมื่อเขาตายลงจะจุติไปยังสุขาวดีโลกธาตุเกิดใหม่เป็น "พระยูไล" หรือ "พุทธะ" พระองค์หนึ่ง เท่านั้นเองการที่ใครจะบรรลุธรรมได้ต้อง "ผ่านการต่อสายธรรม" จากท่านที่บรรลุธรรมแท้จริง เช่น พระพุทธเจ้า โดยตรง, หรือพระอรหันตสาวก ทว่า ถ้าท่านไปฟังธรรมจากพระอรหันต์มา เป็นลูกศิษย์เขา แล้วอยู่ๆ กลับมาคิดอะไรได้เอง อย่าคิดว่านี่คือ
การบรรลุธรรม มันไม่ใช่แบบนี้
ถ้าท่านจะได้บรรลุธรรมตามสายธรรมจากพระอรหันต์รูปใด ท่านจะบรรลุเมื่อฟังธรรมโดยตรงขณะนั้นๆ เลย ต่อหน้ากันเลย ไม่ใช่มาบรรลุเองภายหลัง นั่นไม่ใช่การบรรลุโดยการต่อสายธรรม
เรื่องธรรมะเป็นเรื่องซึ่งละเอียดอ่อนมากมีรายละเอียดปลีกย่อยมีมากมายที่ไม่อาจอธิบายได้หมดในที่นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น