วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตายแล้วไปไหน

ตายแล้วไปไหน

ที่จริงแล้ว ไม่มีใครเกิดและก็ไม่มีใครตาย สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นคนนั้นคนนี้เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ก็คือคลื่นต่างๆนั่นเองที่กำลังกระทบกัน จึงทำให้มีสภาวะเกิดขึ้น เพื่อให้คลื่นต่างๆได้เรียนรู้และพัฒนาคลื่นจิตวิญญาณของตนเอง จิตเรามิได้เกิดและก็ไม่สามารถตายได้เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่คลื่นจิตสามารถเรียนรู้อะไรได้ เพราะมันเป็นพลังงานที่สามารถกระเพื่อม (vibration) ทำให้เกิดมีความคิด ตัดสินใจและเลือกในการกระทำ การกระทำจึงเป็นการสร้างคุณภาพให้กับจิต จิตจึงมีวิวัฒนาการในเรื่องพัฒนา ไปอยู่ในโลกมิติต่างๆ หรือที่คนมีความเข้าใจกันว่า มีการเวียนว่ายตายเกิด สถานการณ์ชั่วคราวเหล่านี้จึงช่วยให้จิตมีประสบการณ์ในชีวิตต่างๆ เรียนรู้กับสภาวะที่เรากำลังถูกกระทบเพื่อจะได้ขยายจิตใจตนเองให้กว้างขวางและเข้าใจในทุกสิ่ง ทำให้จิตมีการตัดสินใจดีขึ้นและหายจากความโลภ โกรธ หลง เมื่อจิตปล่อยวางความเข้าใจผิดได้ จิตก็จะตื่นและมีแต่ความสดชื่น เบิกบาน ทำให้จิตไม่เป็นทุกข์กับสิ่งใด จิตมีความสงบ สติและปัญญา เป็นจิตใจที่ไร้พรมแดน มีความรักต่อทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง มีความสมดุลกับธรรมชาติและมีความสามัคคีกับทุกสิ่งได้

ดังนั้นร่างกายต่างๆที่เราเห็น หรือสัมผัส ก็คือยานพาหนะของจิตวิญญาณแต่ละดวงนั่นเอง เราสร้างร่างกายขึ้นมาชั่วคราวด้วยการเอาคลื่นน้ำ คลื่นดิน คลื่นลม คลื่นไฟและคลื่นอากาศมาผสมกัน ทำให้เรามีร่าง เมื่อเรามียานพาหนะ จิตเราก็สามารถใช้ร่างนี้ไปเรียนรู้กับสภาวะต่างๆ ทำให้มีการพัฒนาเกิดขึ้นสำหรับคลื่นจิต ในช่วงที่เรามีร่างกายเราก็ควรรักษาดูแลยานพาหนะของตัวเองให้มีสุขภาพที่ดี มีความสมบูรณ์และมีความสมดุล ถ้าเราดูแลร่างกายและจิตใจอย่างมีความเป็นกลาง การพัฒนาจิตใจให้หายหลงและนิพพานก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ถ้าเราไม่ค่อยสนใจและมีความลำเอียง เอาแต่ใจตัวเอง ร่างกายเราก็จะป่วยบ่อย เพราะเรามีความเครียดและร่างกายขาดความสมดุลทำให้ธาตุในร่างกายแตกสลาย หรือที่เรียกว่า “ตาย”

แต่มันมิได้ตายจริง เพราะร่างกายที่เราคิดว่าตายก็สลายกลับไปเป็นคลื่นน้ำ คลื่นดิน คลื่นลม คลื่นไฟและคลื่นอากาศ คลื่นเหล่านี้ก็กลับไปเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่คลื่นจิตเรามิได้ตาย เราก็ยังมีความรู้สึกอยู่เช่นเดิมสำหรับจิตเท่านั้น

คำถาม: ตอนในช่วงที่เรากำลังจะตายหรือสละออกจากร่าง เราจะมีความเจ็บปวดมากหรือเปล่าครับ

คำตอบ: อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถ้าธาตุในร่างกายมีอาการปั่นป่วนมากก็จะรู้สึกเจ็บ แต่ถ้าผู้ใดมีจิตใจที่โล่งสงบก็จะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บและก็ออกจากร่างได้อย่างสบาย ช่วงที่จิตออกจากร่างไปแล้วก็จะไม่รู้สึกเจ็บ เพราะจิตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน มันเป็นแค่คลื่นหรือพลังงาน

คำถาม: แต่ในเมื่อจิตสละออกจากร่างไปแล้ว ความรู้สึกที่ว่าเราเป็นมนุษย์ก็ยังมีอยู่เช่นเดิมหรือครับ

คำตอบ: ใช่ ยังมีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ตาย คือจิตตัวนั้นเห็นร่างกายที่นอนกองอยู่ จิตอาจจะงงเพราะมันหลุดออกจากร่างไปแล้ว จิตบางตัวอาจจะไม่เชื่อและพยายามกลับเข้าสู่ร่างเดิม แต่ก็ทำไม่ได้เพราะธาตุของร่างกายแตกสลายไปแล้ว แต่ในความรู้สึกของจิตก็ยังรู้สึกว่าจิตใจตนเองยังเป็นอยู่เช่นเดิม จิตมิได้หายสาบสูญไปไหน จิตสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยการคิด

คำถาม: ถ้ายังงั้น จิตคิดถึงอะไรก็จะไปที่นั่นหรือครับ

คำตอบ: ใช่ อย่างเช่นคนที่พึ่งสละออกจากร่าง คลื่นจิตเขาก็จะพยายามไปบอกข่าวกับญาติว่าเขาไปแล้วนะ ญาติบางคนจึงรู้ข่าวเพราะเขาไปสัมผัสกับคลื่นวิญญาณของผู้นั้นก่อนที่จะมีคนอื่นมาบอกเขาเสียอีก

คำถาม: และพวกผีละครับ ทำไมมนุษย์จึงกลัววิญญาณหรือกลัวผี

คำตอบ: อันนี้เป็นเพราะความเข้าใจผิด เพราะตอนนี้เราก็เป็นวิญญาณ ไม่ว่าจะมีร่างก็ตาม

อารมณ์กลัว แต่ถ้าเราไม่ชอบ เราก็อาจจะหวาดกลัว เพราะเราคิดว่าวิญญาณพวกนี้อาจจะมาทำร้ายเรา เนื่องจากคนทั่วไปกลัวความเจ็บ แต่ผีที่คนเห็นส่วนมากเป็นผีที่เกิดมาจากจินตนาการ แต่ไม่เห็นผีในตอนกลางวัน ในตอนกลางคืนตาเราจะมองเห็นภาพไม่ชัดเจนเพราะสายตาเราขาดแสง เมื่อจิตเราไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นนั้นคืออะไร จิตก็เลยใช้ิจินตนาการสร้างภาพที่น่ากลัวเรื่องผี หรือ เคยดูนั้นขึ้นมาในใจ

คำถาม: ถ้าอย่างนั้น ผีก็ไม่มีจริงหรือครับ

คำตอบ: มี แต่มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างที่เราคิด วิญญาณก็แค่เป็นคลื่น  มันก็สามารถสื่อ การจ๊ะเอ๋

คำถาม: ถ้าอย่างงั้นความกลัว เพราะจิตเราเป็นตัวสร้างอารมณ์ที่กระทบกับจิตเรา

คำตอบ: ใช่แล้ว แต่เพราะความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากความสงบไปเผชิญกับสถานการณ์

คำถาม: ในเมื่อธาตุร่างกายแตกสลายไปแล้วและจิตก็สละออกจากร่าง จิตดวงนั้นไปอยู่ที่ไหนครับ

คำตอบ: อันนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ คุณสมบัติของจิต

คำถาม: อย่างเช่นจิตที่มีคุณภาพไม่ดี แต่ถ้าจิตมีคุณภาพดี อย่างนั้นหรือครับ

คำตอบ: นรก โลกมนุษย์ในปัจจุบันที่เราอยู่ก็เป็นมิติที่อยู่ในจิตใจของเรา ฟังคำอธิบายแบบนี้อาจจะรู้สึกแปลกๆ เพราะมันดูเหมือนว่าโลกอยู่ภายนอก แต่ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆที่เราเห็นเป็นสิ่งที่กระทบกับจิตและอยู่ภายในจิต เพราะคลื่นจิตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา แสดงว่าคลื่นจิตเป็นสิ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่เพราะตอนนี้เราอยู่ในร่างคน เราจึงมองโลกจากมุมแคบได้ เราก็จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคลื่นพลังงานและมีการกระทบกันอยู่ ทำให้เราเห็นและสร้างความหมายในการกระทบว่ามันเป็นภาพนั้นภาพนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ สิ่งเหล่านี้ก็คือสภาวะชั่วคราวเท่านั้นเอง

หลังจากที่จิตเราสละออกจากร่างกาย จิตเราก็ไม่รู้สึก เพียงแต่ไม่มีร่าง แต่ถ้าอารมณ์หรือความคิดของเราเป็นเช่นไร สิ่งแวดล้อม สร้างภาพแบบเป็นนรกให้เราเห็น แต่ภาพนรกอันนี้สร้างขึ้นมาด้วยคุณภาพจิตเอาไว้

เมื่อเราปล่อยวาง คิดอยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น คนส่วนมากจึงต้องการไปสวรรค์เพราะเขาอยากให้ได้สมความปรารถนา เพราะจิตยังเลือกที่รักมักที่ชัง ชอบแบบนี้แต่เกลียดแบบนั้น จิตยังยึดมั่นถือมั่นในความดี จิตยังละในการเปรียบเทียบไม่ได้ ทำให้จิตไม่ยอมเป็นกลาง ดังนั้นพวกเทวดาหรือจิตที่ขึ้นสวรรค์ทั้งหลายก็ยังมีการทะเลาะเบาะแว้งในสิ่งที่เขาไม่ชอบ คลื่นจิตแบบนี้จึงยังขาดความสมบูรณ์

ดังนั้นจึงมีมิติที่เป็นอิสระ ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งเพราะจิตไม่ยึด ความกระจ่างของจิตจึงทำให้ใจมีความเป็นอิสระ หลุดพ้นออกจากความทุกข์ทั้งปวง จิตก็เลยไม่รู้สึกขาดอะไรและก็ใช้ความสงบ สติและปัญญาไปทำประโยชน์ เป็นจิตที่มีแรงบันดาลใจและมีความสร้างสรรค์ มีความเคารพในทุกสิ่งและเห็นคุณค่าของทุกอย่างจากความเป็นกลาง มิตินิพพานจึงเป็นมิติที่มีแต่ความสุขอย่างแท้จริง เพราะจิตใจของทุกคนในมิตินี้มีคุณภาพจิตที่บริบูรณ์

คำถาม: ถ้าเราตายหรือจิตสละออกจากร่างกายไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจิตเราจะไปอยู่ในมิตินิพพาน

คำตอบ: อันนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพได้ จิตก็จะรู้สึกมีความโล่งโปร่งใสเบาสบายและไม่เป็นทุกข์กับสิ่งใด แต่ถ้าจิตยังปล่อยวางไม่เป็น เราก็ฝึกจิตใจตนเองไปเรื่อยๆกับสภาวะในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการอยู่ในโลกมนุษย์ก็เหมือนกับการที่จิตได้ไปโรงเรียนเพื่อพัฒนาคลื่นตนเองให้นิพพาน

หลังจากที่จิตเราสละออกจากร่างไปแล้ว เราก็ไปอยู่ในมิติที่มีคุณภาพเหมือนกับจิตเรา เพราะจิตเราเป็นตัวสร้างความเป็นจริงในการพัฒนาจิตใจของตนเองและเราก็จะรู้เองว่าเรานิพพานหรือไม่ ดูที่คุณภาพและความกว้างขวางของจิต จิตที่นิพพานจะไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุขอันแท้จริงซึ่งเป็นความสุขที่ไม่มีเงื่อนไข มีแต่ความรัก ความเมตตากรุณาและเต็มไปด้วยความสงบ มีแต่ความเป็นกลาง มีสติและภูมิปัญญาที่ทำให้จิตเราตื่นออกจากความเข้าใจผิดและเป็นอิสระ จิตจึงมีแต่ความชื่นบาน

คำถาม: ด้งนั้นหลังจากที่จิตเราสละออกจากร่างแล้ว แต่จิตยังไม่นิพพาน จิตก็ต้องเดินทางไปศึกษาและพัฒนาคลื่นจิตตนเองให้กว้างขึ้น จนกว่าจิตจะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง

คำตอบ: ใช่ การเวียนว่ายตายเกิดจึงแค่เป็นสถานการณ์ชั่วคราว เพื่อให้จิตได้ศึกษาหาประสบการณ์ความรู้จากการที่จิตถูกกระทบกับข้อมูลหรือคลื่นต่างๆ ทุกครั้งที่จิตสละออกจากร่างกายที่ไม่ทำงานแล้ว จิตที่ออกไปจากร่างก็จะรู้สึกว่าการที่ไปอยู่ในร่างมนุษย์นั้นเป็นชั่วระยะเวลาเพียงแป๊บเดียว ดังนั้นการที่จิตไปอยู่ในร่างมนุษย์มากมายหลายรอบก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจิต เพราะจิตได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพใจของตนเองให้ดียิ่งขึ้น ทำให้จิตมีความเป็นกลาง มีความสมดุลและสามัคคีกับทุกอย่าง

คำถาม: ทำไมตอนที่จิตสละออกจากร่างกายไปแล้ว ดูเหมือนว่าเราไปเป็นคนหรือเล่นอยู่ในโลกมนุษย์แค่เพียงแป๊บเดียว แต่ตอนที่จิตเราอยู่ในร่างมนุษย์รู้สึกว่าเราอยู่ในโลกนี้นานมาก ยิ่งร่างกายเรามีความแก่ เราก็รู้สึกว่าชีวิตนี้มันยาวนานเสียจริง

คำตอบ: อันนี้เป็นเพราะว่าช่วงที่จิตอยู่ในร่างกายมนุษย์ จิตจะคิดถึงเรื่องเวลา จิตสร้างเวลา ทุกครั้งที่จิตเปรียบเทียบหรือมีการวัดข้อมูล ความสั้นและความยาวก็จะเกิดขึ้นในความคิด ทำให้จิตไปยึดในข้อมูลที่มันสร้าง ว่าอันนี้ยาวเท่าไร สั้นเท่าไร สูงหรือกว้างเท่าไร ยาวนานหรือไม่นาน ถ้าจิตไม่เปรียบเทียบก็ไม่มีเวลา เวลาอันแท้จริงก็คือปัจจุบัน แต่จิตใจที่อยู่ในโลกมนุษย์สร้างเวลาสมมุติขึ้นมาเพื่อไว้ใช้ประกอบกิจกรรมต่างๆ เพราะถ้าเราไม่มีนาฬิกา เราก็ไม่สามารถนัดหมายกันได้ เราจึงต้องใช้เวลาสมมุติที่ตั้งขึ้น เพียงแต่ให้เรารู้ว่าในความเป็นจริงนั้นมีแต่ปัจจุบันและเราก็อาศัยอยู่ในปัจจุบันไปเรื่อยๆ ทำให้เราไม่ห่วงและกังวล เราสามารถใช้เวลาสมมุติให้เป็นประโยชน์ในการนัดหมายและประกอบกิจกรรมได้ แต่ไม่เป็นทุกข์กับมัน

ที่จริงแล้วจิตใจเราไม่มีความรู้สึกแก่ ถึงร่างกายเราจะมีอายุมากเท่าไร จิตเราก็ไม่รู้สึกแก่เพราะจิตเป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน จิตใจเราจะรู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอด แต่ร่างกายเราแก่เพราะว่ามีความเปลี่ยนแปลงในตัวเซลล์ของร่าง แต่เราต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเพื่อเราจะได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เพราะถ้าร่างกายไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเป็นทารกอยู่ตลอด ดังนั้นการเจริญเติบโตและความแก่ของร่างกายจึงเป็นสิ่งดีสำหรับเรา

คำถาม: ทำไมจิตไม่กำหนดการให้ร่างตนเองหยุดแก่ อย่างเช่นเจริญเติบโตไปถึงวัย 25 และหลังจากนั้นก็มีหน้าตาและรูปร่างเหมือนคนอายุ 25 ไปเรื่อยๆ

คำตอบ: คุณต้องการให้ร่างกายเราเป็นอมตะ ถ้าร่างกายเราเป็นได้จริงและยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ จิตเราก็จะมีความห้าวและก้าวร้าว แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนในวัยชราจะมีจิตใจที่มีความสงบมากขึ้น อันนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกจิตของแต่ละบุคคล ผู้สูงอายุอาจจะมีอารมณ์ร้อนใจอยู่เสมอถ้าเขายังไม่ยอมปล่อยวางความคิดหรืออารมณ์ที่แกว่งไปมา เขายังติดอยู่ในการให้ได้ดั่งใจตนเอง ยังเอาเรื่องและมีอคติ

คำถาม: ความแก่ชราจึงเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเองและก็เป็นธรรมชาติที่ช่วยให้เราเห็นในความแตกต่าง

คำตอบ: ใช่แล้ว แต่ถ้าเราฝึกจิตใจตนเองให้เบิกบาน ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ไม่มีความเครียด สร้างความสมดุลให้กับจิตและร่าง ถึงร่างกายเราจะแก่ เราก็จะไม่เป็นทุกข์กับมัน เราจะรู้สึกมีความสุขเพราะเรายอมรับได้ในความเป็นจริง ไม่รังเกียจความแก่แต่มีความยินดี ทำให้จิตใจตนเองมีความกระฉับกระเฉง มีไหวพริบเฉียบแหลมและร่างกายของเราก็จะดูไม่แก่เท่ากับอายุ

คำถาม: จิตเราเดินทางไปไหนต่อครับ หลังจากที่จิตสละออกจากร่างกายที่หมดสภาพ

คำตอบ: หลังจากนั้น จิตเราก็จะไปพบกับหน่วยงานช่วยเหลือจิตวิญญาณ อย่างเช่นไปพบกับจิตวิญญาณญาติหรือคู่รักของเราที่เราคิดว่าเขาเสียไปแล้ว แต่ที่จริงเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่มิได้อยู่ในโลกมนุษย์ หรือไปพบกับจิตวิญญาณที่เป็นผู้แนะนำ เขาจะพาเราเดินทางต่อไปเพื่อเราจะได้ไปพัฒนาคลื่นจิตใจของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

คำถาม: ถ้าเราไม่ยอมไปกับเขาละครับ

คำตอบ: อันนี้เราจะสร้างปัญหาให้กับตนเองมากถ้าเราไม่ยอมเดินทางต่อ เหมือนกับเราไม่ยอมก้าวหน้า แสดงว่าจิตยังมีความกังวล มีความห่วงใยกับโลกมนุษย์และไม่ยอมไปไหน คนในโลกมนุษย์จะเรียกเราว่า “ผี” เหมือนพวกผีเฝ้าสมบัติหรือผีเฝ้าบ้าน

คำถาม: เมื่อเราตกลงไปกับหน่วยช่วยเหลือวิญญาณแล้ว เขาจะพาจิตเราไปที่ไหนต่อครับ

คำตอบ: อันนี้ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละบุคคล เพราะคุณภาพจิตของแต่ละบุคคลจะไม่เหมือนกัน จิตของบางคนอาจจะมีความทรุดโทรมเพราะเขามีความทุกข์มากในช่วงที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นหน่วยช่วยเหลือจิตวิญญาณจะพาจิตผู้นั้นไปพักผ่อนและบำบัดเสียก่อน เพื่อให้จิตที่มีความอ่อนเพลียนั้นได้ฟื้นฟูและอยู่กับความสงบ

คำถาม: เขาต้องไปพักผ่อนและบำบัดนานเท่าไรครับ

คำตอบ: มิตินี้เป็นมิติที่ไม่มีเวลา ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ ดังนั้นเราพักผ่อนไปเรื่อยๆจนกว่าเรารู้สึกมีความกระฉับกระเฉง รู้สึกว่าจิตเรามีพลังงานมากขึ้นและเมื่อจิตเรารู้สึกรื้อฟื้น หน่วยช่วยเหลือจิตวิญญาณก็จะพาเราดินทางต่อไป

คำถาม: จิตทุกคนต้องทำอย่างนี้หรือครับ

คำตอบ: ไม่จำเป็นสำหรับทุกจิต ถ้าจิตเรามีพลังงานพอเพียง เราก็สามารถเดินทางต่อไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องพัก

คำถาม: หลังจากนั้น จิตไปไหนต่อครับ

คำตอบ: หลังจากนั้นเราจะมีการทบทวนชีวิตที่พึ่งผ่านไปที่เราใช้ในโลกมนุษย์ เพื่อให้รู้ว่าเราพัฒนาจิตใจของตนเองไปถึงไหนแล้ว จิตใจเรามีความสมดุลและมีความเป็นกลางหรือไม่ พบกับความสุขอันแท้จริงในใจของตนเองแล้วหรือยัง หรือว่าจิตยังแสวงหาอยู่ จิตยังมีความลำเอียงอยู่หรือเปล่า มีความโลภ โกรธ หลงอยู่หรือไม่ หรือว่ายังมีความเครียด มีความไม่พอใจและยังละการเปรียบเทียบไม่ได้ ยังเป็นจิตที่ยึดมั่นถือมั่น ยังยึดในถูกหรือผิด ยังติดอยู่กับความคิดและอารมณ์ที่ตนเองปรุงแต่งจึงทำให้ใจแกว่งไปมา ทำให้จิตขาดความสงบ สติและปัญญา ไม่มีความอิ่มเอิบเบิกบานในใจของตนเอง จิตยังมีความคับแคบ ไม่สามารถมีความสามัคคีกับทุกอย่างได้ จึงเป็นจิตที่เลือกที่รักมักที่ชัง

ดังนั้นเราจะมีหน่วยช่วยเหลือในการทบทวนและประเมินผล หน่วยเหล่านี้จะช่วยคอยแนะนำให้เราเป็นกลาง หน่วยเหล่านี้เป็นทาญาติของจิตเรา เป็นจิตใจที่กว้างขวาง เพราะเขาสามารถมองเห็นในมุมกว้าง จิตเขามีความเป็นกลางและนิพพานอยู่เสมอ เขามีความรักอันแท้จริงต่อเราและจะพยายามแนะแนวเพื่อให้เราเข้าสู่นิพพาน จิตเราจะได้มีความสมบูรณ์และมีความสมดุลกับทุกสิ่ง หลังจากที่เราทบทวนชีวิตของตนเองและประเมินผลเสร็จแล้ว เราก็จะเลือกและตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อและพัฒนาจิตใจตนเองแบบไหนดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...