วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

มโนโสไจยะ

“มโนโสไจยะ”
คือการโยนิโสมนสิการ ด้วยการ กำหนดรู้ “นิวรณ์ ๕”
(1.) กามฉันทะ–ความพอใจในกาม
(2.) พยาบาท–ความปองร้าย
(3.) ถีนมิทธะ–ความท้อแท้และความง่วง
(4.) อุทธัจจกุกกุจจะ–ความฟุ้งซ่านและ  ความรำคาญใจ
(5.) วิจิกิจฉา–ความเคลือบแคลงลังเล

มีความสำเร็จเหมือนการรับ “ปริญญา”
เป็นบรรยากาศในวันรับปริญญาบัตร
เป็น #ธรรมกำหนดรู้ ในกิจของทุกข์

(2.) **กามฉันทะ–ความพอใจในกาม
       *** พยาบาท–ความปองร้ายก็ดี
       ***ถีนมิทธะ–ความท้อแท้ความง่วง
       ***อุทธัจจกุกกุจจะ–ความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ
      ***วิจิกิจฉา–ความเคลือบแคลง ลังเล ก็ดี
มีอยู่ในใจ

##เมื่อรู้ว่า
“กามฉันทะ–พยาบาท–ถีนมิทธะ–อุทธัจจกุกกุจจะ–วิจิกิจฉา” มีอยู่ในใจของตน 
ก็“#ปหานะ” (#ตัดกิเลส)
การละ เป็นกิจในสมุทัย

(3) “กามฉันทะ–พยาบาท–ถีนมิทธะ–อุทธัจจกุกกุจจะ–วิจิกิจฉา” ไม่มีอยู่ในใจ

ก็รู้ว่า “กามฉันทะพยาบาท–ถีนมิทธะ–อุทธัจจกุกกุจจะ–วิจิกิจฉา”ไม่มีอยู่ในใจของตน

ก็เท่ากับ “#สัจฉิกิริยา” คือการทำให้แจ้ง เป็นกิจในนิโรธ

(4) ย่อมรู้ทางเกิดแห่ง
“กามฉันทะ–พยาบาท–ถีนมิทธะ–อุทธัจจกุกกุจจะ–วิจิกิจฉา” ที่ยังไม่เกิด

ก็เท่ากับ“#สังวรปธาน” เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น หรือ

เท่ากับ “#ภาวนา” การเจริญ เป็นกิจในมรรค
หรือ “#อปายโกศล” ความฉลาดในความเสื่อม รอบรู้ทางเสื่อมและเหตุของความเสื่อม

(5.) รู้วิธีละ
“กามฉันทะ–พยาบาท–ถีนมิทธะ–อุทธัจจกุกกุจจะ–วิจิกิจฉา”
ที่เกิดแล้ว ก็เท่ากับ“#ปหานปธาน”คือความเพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรพยายามละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว หรือ เท่ากับ

“ภาวนา” การเจริญ เป็นกิจในมรรค หรือ “อายโกศล” ความฉลาดในความเจริญ รอบรู้ทางเจริญ และเหตุของความเจริญ

(6.) รู้อุบายทำ“กามฉันทะ–พยาบาท–ถีนมิทธะ–อุทธัจจกุกกุจจะ–วิจิกิจฉา”
ที่ละได้แล้วมิให้เกิดต่อไป
รู้อุบายแล้ว“#ปหานปธาน” เพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรพยายามละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว

รู้อุบายแล้ว"ภาวนาปธาน”
(เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น

รู้อุบายแล้ว“#อนุรักขนาปธาน” เพียรรักษา
คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ หรือเท่ากับ
“#ภาวนา” การเจริญ เป็นกิจในมรรค
หรือ “#อุปายโกศล”มีความฉลาดในอุบาย รอบรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีที่จะทำให้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้

(1.) บุคคลผู้เป็นปราชญ์ทางกาย
(2.) บุคคลผู้เป็นปราชญ์ทางวาจา
(3.) บุคคลผู้เป็นปราชญ์ทางใจ
ซึ่งหาอาสวะมิได้ และห่างออก
(4.) บุคคลผู้เป็นปราชญ์พร้อมด้วยคุณธรรมของปราชญ์

บัณฑิตทั้งหลายย่อมกล่าวบุคคลนั้นว่า
“#ผู้ละบาปหมด” หรือคำกล่าวว่า
“บุคคลผู้สะอาดทางกาย สะอาดทางวาจา สะอาดทางใจ ไม่มีอาสวะ
เป็นคนสะอาดผู้ชำระบาปแล้ว
( #Feeldation #review)
ผู้หมดจดแล้วและสนิทสนมกับความรู้แล้ว”
เป็นผู้ตื่นจากหลับไหลแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...