วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

มนที่หลั่งออกมาจากสมองเพื่อมาทำให้มีชีวิตที่ดีกว่า (ต่อ)*

มนที่หลั่งออกมาจากสมองเพื่อมาทำให้มีชีวิตที่ดีกว่า (ต่อ)*

เราได้กล่าวไปแล้วว่า บริเวณสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำงานทางด้านความคิด จิตใจ อันเป็นการทำงานของสมองชั้นสูงที่มีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น เป็นบริเวณเดียวในสมองที่เมื่อถูกกระตุ้นจนมีสาร “มอร์ฟีนในสมอง” หลั่งออกมาแล้ว ร่างกายจะไม่หลั่งสารยับยั้งออกมาควบคุมเหมือนกับบริเวณอื่น ทำให้คนเราสามารถหลั่งสาร “มอร์ฟีนในสมอง” ออกมาได้เรื่อยๆ

สิ่งนี้หมายความว่า ถ้าคนเราใช้สมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่มีวิวัฒนาการหลังสุด และก้าวหน้าที่สุด ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการคิดในเชิงบวก เชิงสร้างสรรค์อยู่เป็นนิจ สารเบต้าเอ็นโดรฟินจะถูกหลั่งออกมา โดยไม่มีการยับยั้งควบคุม ซึ่งต่างกับความต้องการทางเพศ หรือความต้องการอาหาร ความต้องการประเภทนี้เป็นความต้องการที่รุนแรงก็จริงอยู่ ตอนที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง แต่ถ้ามันได้รับการตอบสนองไปแล้ว ระบบฟีดแบ็กในเชิงลบของร่างกายจะทำงานเป็นความอิ่มหรือหมดอารมณ์ทางเพศชั่วคราว แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในกรณีที่คนผู้นั้นใช้มันสมองของตนเองเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม เพื่อมนุษยชาติ หรือเพื่อโลกใบนี้ ทำไมธรรมชาติถึงเจาะจงสร้างกลไกการทำงานของสมองคนให้เป็นแบบนี้? มันไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

“ความคิด” ของคนเรา โดยปกติจะถูกครอบงำโดย “ความเคยชิน” ของคนผู้นั้น ว่ากันว่า ผู้คนส่วนใหญ่ราวๆ 70-80% มักเคยชินกับวิธีคิดในแง่ลบ ซึ่งมาจากสัญชาตญาณที่มุ่งแสวงหาความมั่นคงให้แก่ตนเอง โดยหาได้ตระหนักว่า ความคิดในเชิงลบนั้น ไม่ก่อให้เกิดผลดีแก่ร่างกายของเราเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้ว สมองคือกลุ่มก้อนของฮอร์โมนก็ว่าได้ เพราะถ้าไม่มีฮอร์โมน สมองจะทำงานอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากฮอร์โมนที่หลั่งออกมาในช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง จะเป็นตัวถ่ายทอดข่าวสาร หรือคำสั่งจากสมองจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง จึงเห็นได้ว่า การกระทำทุกอย่างของคนเรา ไม่ว่าการคิด การพูด การกระทำจะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีฮอร์โมน ซึ่งในปัจจุบันค้นพบแล้ว ประมาณ 100 กว่าชนิดในร่างกาย และยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้ค้นพบ

ฮอร์โมนประกอบขึ้นมาจากกรดอะมิโน ที่สำคัญที่สุดคือกรดอะมิโนที่เรียกว่า จิโลซินซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน สมองคนมีน้ำหนักราวๆ 1.4 กิโลกรัมหรือหนักเพียง 2.3% เท่านั้นของคนที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม แม้สมองจะมีขนาดเล็กก็จริง แต่ปริมาณเลือดและออกซิเจนที่สมองบริโภคกลับไม่น้อยเลย คือ มันบริโภคถึง 15-20% ของปริมาณทั้งหมดที่ร่างกายใช้ ปริมาณออกซิเจน และปริมาณโลหิตที่ไหลเวียนเข้าสู่สมองจึงมีความสำคัญมากพอๆ กับการหลั่งของสารมอร์ฟีนในสมองเพื่อให้เซลล์สมองอยู่ในภาวะที่สมบูรณ์ถึงขีดสุดอยู่เสมอ

และนี่เองจึงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่า ทำไม วิชากุณฑาลินีโยคะจึงเป็นหนึ่งในวิชาที่สามารถพัฒนาศักยภาพของสมองได้ เพราะการฝึกกุณฑาลินีโยคะอย่างเป็นระบบ สามารถทำให้เกิดการไหลเวียนของปริมาณออกซิเจน และปริมาณโลหิตเข้าสู่สมองอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมๆ กับทำให้เกิดการหลั่งของสารมอร์ฟีนในสมองด้วยในเวลาเดียวกัน ในโลกนี้มีวิชาไม่กี่วิชาที่สามารถทำให้เกิดประสิทธิผลเช่นนั้นได้

หากพิจารณาจากปัญหาการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจ และสมองอันเนื่องมาจากวัฒนธรรมการกินของคนสมัยนี้ที่อยู่ดีกินดีจนมีไขมันมากเกินไปภายในตัว โดยเชื่อมโยงกับเรื่องการพัฒนาศักยภาพของสมองแล้ว เราจะเห็นได้อย่างไม่มีข้อสงสัยอีกเลยว่า คนเราจำเป็นต้องรักษากล้ามเนื้อของร่างกายเอาไว้ อย่าให้มันกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย แม้ผู้นั้นจะเริ่มสูงวัยแค่ไหนแล้วก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนที่มีกล้ามเนื้อร่างกายของผู้นั้น จะสะสมไขมันเอาไว้น้อย ส่วนคนที่มีไขมันในร่างกายมาก จะมีโอกาสอายุสั้นกว่าคนที่มีไขมันน้อย จึงเห็นได้ชัดว่า ทำไมคนเราควรฝึกฝนร่างกายให้มีแต่กล้ามเนื้อ

อย่างไรก็ดี การออกกำลังกายที่รุนแรงหักโหม เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ มันก็มีข้อเสียตรงที่ไปเพิ่มปริมาณของอนุมูลอิสระ เพราะฉะนั้น วิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการพัฒนาศักยภาพของสมอง ทำให้อายุยืน ปลอดโรค และแก่ช้า คือการออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างโยคะ และไท่จี๋ (ไท้เก๊ก) เพื่อเผาผลาญไขมัน แต่ก็เป็นการบริหารกล้ามเนื้อภายในตัวด้วย นั่นเอง

อนึ่ง สาร “มอร์ฟีนในสมอง” เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นมาจากสารโปรตีน ดังนั้น การลดความอ้วนโดยการลดอาหารประเภทโปรตีน จึงเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการให้ความสนใจเรื่องรูปร่างภายนอกมากเกินไป จนลืมความสำคัญของสุขภาพสมอง และสุขภาพโดยรวม วิธีที่ถูกจึงควรเป็นการบริโภคอาหารที่มีจำนวนแคลอรีน้อยควบคู่ไปกับการบริโภคโปรตีน นอกจากนี้ ในตอนที่สมองหลั่งสารมอร์ฟีนในสมองออกมา คลื่นสมองจะเป็นคลื่นอัลฟาด้วย และเมื่อใดที่คลื่นสมองกลายเป็นคลื่นเบต้า สารเบต้า-เอ็นโดรฟินก็จะหยุดหลั่ง เพราะฉะนั้น การทำสมาธิกับการมองโลกในเชิงบวก จึงมีความจำเป็นในการทำให้คลื่นสมองกลายเป็นคลื่นอัลฟาอยู่เสมอ จริงอยู่คลื่นเบต้าของสมองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนเราในการต่อสู้แข่งขัน หรือการทำงานให้สำเร็จโดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ แต่ถ้าคนผู้นั้นมีแต่คลื่นเบต้า เขาจะไม่อายุยืน และอาจหาความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้ยาก

จะเห็นได้ว่า ใจของคนเรานั้น สามารถควบคุมได้ค่อนข้างมากด้วยวิธีคิด โดยที่การทำงานของสารมอร์ฟีนในสมองนั้น กระทำผ่านเส้นประสาทในสมองที่เรียกว่า เส้นประสาทเอเท็น (A10) ซึ่งอยู่ใกล้กับสมองส่วนหน้า ต่อมพิทูอิพารี และไฮโพทาลามัส เส้นประสาทเอเท็นนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่มันเชื่อมต่อกับความต้องการของมนุษย์ในทุกระดับ ทั้งในสมองส่วนดึกดำบรรพ์ บริเวณก้านสมองไปจนถึงกลีบสมองด้านหน้าที่เป็นผิวสมองใหม่ นีโอคอร์เท็กซ์ การที่คนเรารู้สึกปีติสุขได้ก็ผ่านเส้นประสาทเอเท็นเส้นนี้เอง โดยที่มนุษย์สามารถใช้ “วิธีคิด” ในเชิงบวกไปควบคุมเส้นประสาทเอเท็นนี้ได้

เนื่องจากกล้ามเนื้อของคนเรา ยังทำหน้าที่ทำให้กระแสเลือดในร่างกายไหลเวียนดีขึ้น ดุจเป็น “หัวใจอันที่สอง” ด้วย เพราะการไหลเวียนของกระแสเลือดในตัวเรา เป็นผลงานร่วมกันระหว่างหัวใจกับกล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกาย การมีพุงจึงหมายถึงการลดลงของกล้ามเนื้อในร่างกาย อันจะนำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ และก่อให้เกิดอาการแก่เร็วของร่างกาย แต่การลดพุงด้วยวิธีการออกกำลังกายที่หักโหมรุนแรง กลับเป็นผลเสียสำหรับคนที่มีอายุเลยวัยกลางคนแล้ว เราควรจะรู้เอาไว้ว่า ในกล้ามเนื้อของคนเรามีเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อไปถึงไฮโพทาลามัสในสมอง หากกล้ามเนื้อถูกกระตุ้นสารมอร์ฟีนในสมองก็จะหลั่งออกมา นี่จึงอธิบายได้ว่า ทำไมคนเราจึงรู้สึกสดชื่น ภายหลังหรือระหว่างการออกกำลังกาย

การยืดกล้ามเนื้อ ยืดเส้นเอ็นด้วยการบิดตัวแบบโยคะ หรือแบบชี่กง (มวยไท่จี๋หรือไท้เก๊ก) ยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่งคือไปทำให้กระแสโลหิตซึมเข้าไปในกระดูกมากกว่าการออกกำลังกายทั่วไป และยังช่วยป้องกันการเสื่อมของกระดูกด้วย การออกกำลังกายเพื่อเสริมกล้ามเนื้อกับการออกกำลังกายเพื่อผลาญไขมันเป็นการออกกำลังกายคนละประเภทกัน การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างการยกน้ำหนัก จะไม่ช่วยในการเผาผลาญไขมันเท่าไรนัก เพราะไขมันจะเผาผลาญก็ต่อเมื่อเป็นการเคลื่อนไหวช้าๆ เป็นเวลาต่อเนื่อง นานๆ โดยใช้ออกซิเจนมาก

การฝึกดัดตนด้วยหทะโยคะหรือชี่กง ซึ่งมีประสิทธิผลทั้งในการเผาผลาญไขมัน และการบริหารกล้ามเนื้อไปพร้อมๆ กัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนควบคู่ไปกับการฝึกกุณฑาลินีโยคะ เพื่อการพัฒนาศักยภาพสมองและการชะลอวัย นอกจากนี้ การฝึกเดินพร้อมกับเจริญสมาธิภาวนาไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเดินจงกรม หรือการเดินแบบปากัล (มวยฝ่ามือแปดทิศของเต๋า) ก็เป็นการออกกำลังที่ให้ประสิทธิผลเหมือนกับโยคะ และไท่จี๋ (มวยไท้เก๊ก) เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...