คนส่วนใหญ่
ปฏิบัติธรรมก็เพราะ”อยากดี”
แล้วพอตั้งธงกันเอาไว้อย่างนี้
การปฏิบัติธรรมในแต่ละที
จึงเต็มไปด้วยความโลภ
จึงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
พอเริ่มหันมาปฏิบัติธรรม
ก็อยากได้ความสงบเวลาทำสมาธิ
ก็อยากดีมีจิตใจที่ไร้ซึ่งกิเลส
ก็อยากมีศีลไม่ด่างไม่พร้อยเลย
ก็อยากเป็นคนดีที่โลกยอมรับ
ในความเป็นจริง
เราคุ้นชินกับการให้อาหารแก่ตัณหา
ตอบสนองทุกความต้องการด้วยความเต็มใจ
เราคุ้นชินกับการเติมน้ำมันลงในไฟแห่งโทสะ
พร้อมจะแผดเผาคู่ต่อสู้ให้วอดวายแม้ตัวตายก็ยอม
เราคุ้นชินกับการปล่อยกายและจิตใจ
ให้เพลิดเพลินหลงไหลอยู่ในกามสุขอย่างเมามัน
ดังนั้น
ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมปุ๊บแล้วให้มันดีปั๊บ
ดูมันจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อไปเสียหน่อย
พอผลมันไม่ได้ดังใจที่มุ่งหวัง
ก็หงุดหงิดเบื่อหน่ายและเลิกปฏิบัติไปในที่สุด
แล้วก็กลับไปทำตัวดี-ชั่ว ตามยถากรรม
เพราะฉะนั้น
หากเราเข้าใจความจริงดังนี้ได้แล้ว
ให้เปลี่ยนธงเสียใหม่บอกกับตัวเองไว้
ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อให้มันดี
แต่ให้ปฏิบัติธรรม”เพื่อรู้”
เพื่อรู้ความจริงของกายใจเรา
เมื่อรู้แล้วก็ยอมรับอย่าไปปฏิเสธ
เพราะนี่แหละธรรมะหรือธรรมชาติของเรา
ธรรมชาติที่เราว่าดี แล้วก็พอใจ
ธรรมชาติที่เราว่าชั่ว แล้วก็ไม่พอใจ
เมื่อเห็นกายใจเราตามจริงได้แล้ว
สิ่งดีก็ทำให้มันเจริญ สิ่งชั่วก็ละวางเสีย
ด้วยหนทางปฏิบัติคือ ศีล สมาธิและปัญญา
ด้วยการเจริญสติ ภาวนากันเอาไว้
เมื่อทำเหตุแห่งการละชั่วทำดีได้อย่างนี้
ผลคือ สิ่งดีสิ่งประเสริฐย่อมเกิดขึ้นมาได้
โดยที่ไม่ต้องคาดหวัง...อย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น