เมื่อปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง หลักเหตุผลของเราจะเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมาก เราอยู่เหนือเหตุผลแบบโลกๆ สิ่งที่เราเคยคิดว่าถูกที่เคยคิดว่ายุติธรรมเหมาะสม จะเปลี่ยนแปลงไป เราจะย่อมรับความจริงในโลกได้มากขึ้นง่ายขึ้น จนเราไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์( อนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา ) ไม่มีสิ่งใดเที่ยง แม้แต่ตัวเราก็ไม่เที่ยงไม่มีอีกต่อไป
การแปลความหมายใดๆในสิ่งต่างๆที่มองเห็น จะหมดค่าในสัญญาเก่าๆที่เคยมีมาแต่ยังรู้อยู่ แต่จะเห็นเป็นเพียงสีเป็นเพียงธาตุ ที่เกิดขึ้นจากการสะท้อนแสง หาได้มีอะไรเป็นความหมายอีกต่อไป เข้าใจคําว่า"สักแต่ว่ารู้ว่าดูว่าเห็น" ก็ตรงนี้หล่ะ เพราะมันเพียงแค่เห็นแสงสีแต่ไม่ให้ความหมายแสงสีที่เห็น การให้ค่าในกายต่างเพศหมดไป เห็นเพียงจิตที่ไม่มีเพศหญิงเพศชาย อยู่ในร่างที่เป็นก้อนธาตุที่รอวันเน่าวันเสื่อม เหมือนเราใส่เสื้อแล้วเสื้อผ้าขาดชํารุดจนใช้ไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องทิ้ง ไม่มีอะไรให้ยึดเกาะอีก มันเน่าแล้วก็ไม่เหลือสิ่งใดใด เหลือแต่เพียง "ความจริง ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อยู่เหนือกาลเวลา" รอว่าเมื่อไหร่ที่เราปล่อยจากการยึดเกาะได้ เข้ามารู้ รู้ได้ด้วยตน พบได้ด้วยตน จะหลุดพ้นการมีตน....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น