วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เรื่องจิต เรื่องอิทธิฤทธิ์

เรื่องต่อไปนี้ท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี ได้เล่าให้ฟังเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๘ เป็นการถอดคำพูดจากการบันทึกเทป ดังนี้

ถ้าพูดไปแล้วนะอาจารย์ (หมายถึง อ.ปฐม - อ.ภัทรา นิคมานนท์) เรื่องของจิตหรืออิทธิฤทธิ์นี้ อาตมาก็ไม่อยากจะใช้คำว่าอิทธิฤทธิ์ เพราะหลวงปู่ท่านไม่นิยม และก็ไม่ทำ ไม่แสร้งทำ ไม่อะไรด้วยทั้งนั้น ก็เลยไม่อยากใช้คำว่าเรื่องจิตเรื่องอิทธิฤทธิ์ แต่จิตนี้หลวงปู่ท่านก็พูดว่า “จิต”

แต่ถ้าพูดเกี่ยวกับหลวงปู่ ก็มีเรื่องแปลกๆ หรือเรื่องที่น่าอัศจรรย์เหมือนกัน ในขณะที่เราอยู่กับท่าน ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ ท่านก็ไม่ได้ยกย่อง ท่านก็ไม่ได้พูด เพื่ออะไรมากมายในเรื่องเหล่านี้ แม้แต่เรื่องไสยศาสตร์ ก็พูดกันว่า ชาวสุรินทร์ เห็นมีไสยศาสตร์กันมาก สามารถใช้คาถาอาคมอะไรต่างๆ เหล่านี้ แม้มีคนถามท่าน ท่านก็ไม่ค่อยอธิบาย ท่านก็บอกเพียงว่า ท่านเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันอะไรทำนองนั้น

สำหรับเรื่อง “จิต” นั้นท่านพูด คือท่านพูดเรื่องจิต ท่านไม่ค่อยใช้คำว่า อิทธิฤทธิ์อะไรหรอก จะใช้ว่า “พลัง” โดยมากท่านจะพูดว่า “พลังจิต” นั้น มีอยู่ พลังจิตจะมีได้ก็เกิดจากข้อเดียว คือ พลังสมาธิ

ถ้าผู้ใดสร้างสมาธิจิตไม่ได้ ท่านว่าพลังจิตนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ถึงเกิดขึ้นก็เป็นพลังจิตที่เป็นมิจฉาหรือไม่มั่นคง เช่นว่าคนบางคนเขาใช้พลังจิตในทางที่ผิด หรือนำไปใช้ในทางรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย ก็อาจจะมีส่วนของพลังจิตเหมือนกัน

พลังจิตที่เกิดจากสมาธิที่ถูกต้องนั้นคือ เมื่อมีสมาธิเกิดขึ้นแล้วก็อาศัยพลังแห่งจิต เพราะสมาธินั้นเกิดจากจิตรวม คือ จิตมันละอารมณ์ต่างๆ เมื่อมันไปแบกเอาอารมณ์ต่างๆ ไว้มาก จิตมันก็ไม่มีกำลัง ไม่มีพลังอะไร ต่อเมื่อจิตสามารถตัด อารมณ์ต่างๆได้ ก็เกิดสมาธิ ก็ใช้คำว่า “จิตเดียว” ที่ปราศจากอารมณ์มากเกินไป จิตก็จะเกิดมีพลังขึ้นมา

ถ้ามีพลังแล้ว (ตามที่หลวงปู่เคยอธิบาย) ระหว่างที่จิตเราเกิดมีพลังสมาธินี่แหละ บุคคลจะเอาไปใช้ทางไหนก็ได้ผลในทางนั้น แต่เมื่อใช้ในทางที่เสียหายมันก็ทำให้ เสียหายได้ หรือใช้ไปในทางที่ให้ประโยชน์ให้เกิดพลังปัญญาก็ได้

หมายความว่า อย่างที่ถูกในหลักวิชาการเรียนทางศาสนาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ว่าศีลทำให้เกิดการอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ฉะนั้น พลังจิตที่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงหลังจากเกิดสมาธินั้น หมายถึงว่า จิตนั้นจะยกสภาวธรรมขึ้นมาไตร่ตรอง ให้เกิดวิปัสสนาญาณเกิดปัญญา แล้วปัญญานั้นก็จะแจ่มแจ้ง ดีกว่าจิตที่ไม่เกิดสมาธิ หรือจิตที่ไม่มีสมาธิ

ฉะนั้น หลวงปู่จะใช้ว่าพลังจิตนั้นสามารถยกระดับภาวะหรือป้องกันความทุกข์ยาก อันเนื่องจากการที่จิตส่งออกไปเพื่อรับอารมณ์ต่างๆได้

มีคนชอบถามหลวงปู่เกี่ยวกับเรื่องอิทธิฤทธิ์บ้าง หรือจิตที่มีฤทธิ์มีพลังอย่างหนึ่งอย่างใดบ้างนั้นก็เคยมี แต่เนื่องจากว่าหลวงปู่ท่านไม่สนใจในเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งอัศจรรย์ในอิทธิฤทธิ์ต่างๆเหล่านี้ ท่านจึงไม่นิยมพูดให้ใครฟัง

แต่หลวงปู่ก็ยอมรับว่าจิตนั้นย่อมเป็นจิตที่มีพลัง เมื่อจิตมีพลังแล้วมันก็จะเป็น คุณประโยชน์ได้หลายอย่าง แต่ท่านก็จะขึ้นต้นว่า จิตจะมีพลังได้นั้นก็ต้องเมื่อ ได้สมาธิ เมื่อทำสมาธิได้หรือเกิดสมาธิ จิตมีอารมณ์เดียว จิตจึงจะมีพลัง เมื่อจิตมีพลังแล้วจะหันไปใช้ทางไหนก็ย่อมได้ แม้หันไปทางที่ผิดทางพระพุทธ ศาสนาก็ย่อมจะได้ อย่างเช่นฤาษีชีไพร หรืออะไรๆ นั้น ล้วนแต่เป็นสมาธิซึ่งนับว่าเป็นมิจฉาสมาธิได้

ส่วน “สัมมาสมาธิ” นั้น หมายถึงจิตที่เป็นสมาธิตามลำดับตั้งแต่ขั้นต้นคือ ขณิกะสมาธิ จนกระทั่งเข้าสู่อัปปนาสมาธิ อะไรในกระแสนี้ แล้วจิตนั้นก็จะเป็นพลังส่องทางไปให้เกิดปัญญา

ในทางตรงข้าม ถ้าอาศัยพลังจิตไปในเรื่องอื่น เรื่องอิทธิฤทธิ์อะไรนั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกพุทธประสงค์ทั้งหมด

แต่ถ้าใช้พลังจิตนั้นเพื่อเป็นเหตุให้ปัญญาผุดขึ้น เพื่อจะตัดกิเลสตัณหาและ ความชั่วร้ายต่างๆ เพื่อยกระดับจิตของเราให้พ้นทุกข์ จึงจะเป็นพลังจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ และเป็นทางที่ถูกต้อง หลวงปู่มักจะอธิบายในแนวทางนี้

ส่วนในทางที่ว่าเอาพลังจิตไปแสดงอิทธิฤทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้แล้ว รู้สึกว่าหลวงปู่จะไม่ค่อยกล่าวถึง หลวงปู่จะระมัดระวังที่สุดในเรื่องการปฏิบัติ ให้เป็นไปในทางที่ดีที่ถูกต้อง

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ท่านเจ้าคุณโพธินันทมุนี(ในภาพ นั่งต่อจากหลวงปู่ดูลย์)ปัจจุบันคือพระราชวรคุณ(สมศักดิ์ ปัณฑิโต) เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม จ.สุรินทร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...