พลังงูร้อน-งูเย็น
พลังกุณฑาริณี เหมือนกระแสไฟฟ้ามีประจุ ๒ แบบ คือ แบบขั้วลบ (เย็น) และ
ขั้วบวก (ร้อน) เมื่อเราปลุกพลังกุณฑาริณีด้วยทัศนคติเชิงลบต่อกาม จะส่งผล
ให้พลังไฟฟ้าประจุลบ (เย็น) ตื่นขึ้น เรียกว่า "กุณฑาริณีเย็น" ซึ่งปกติ เขาห้าม
ฝึกกันครับ แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ เพราะถ้าฝึุกแล้วจะทำให้เป็นคนเย็นชา เลือดเย็น
ไร้ความรักแท้จริง ดังนั้น ผู้ฝึกสายตันตระทุกท่าน จะต้องมีทัศนคติ เชิงบวกต่อ
กามทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นระหว่างอะไรกับอะไรก็ตาม เพราะหากมีทัศนคติเชิง
ลบแล้วก็จะปลุกกุณฑาริณีเย็น (พลังงูเย็น) ขึ้นมาทันทีซึ่งพลังทั้งสองใช้ในเชิง
ฤทธิ์ได้เหมือนกัน โดยพลังเย็นจะใช้ป้องกันตัว เวลามีคนจะมาข่มขืนเรา เป็นต้น
แต่พลังร้อนจะใช้ในการสืบพันธุ์ เืพื่อการกำเนิดเผ่าพันธุ์ต่างๆ สำหรับผู้ที่ยังปลุก
พลังกุณฑาริณีไม่ได้ ยังไม่ตื่นจะไม่มีปัญหานี้ แต่ถ้า่มันตื่นแล้ว มันก็จะมีผลง่าย
กว่าคนปกติครับ เช่น ถ้าเราต่อต้านการมีกาม พลังงูเย็นจะตื่นขึ้นทำงานในทันที
เมื่อพลังตื่นแล้ว ปล่อยให้มันไหลทะลวงจักระ ๗ ออกไปครับ แต่บางท่านก็อาจ
เคลื่อนพลังหมุนวนลงมาเก็บไว้ที่จักระที่ ๒ ก็ได้ คือ ไม่ปล่อยให้พลังทะลวงไป
หมด แต่กักเก็บไว้ที่จักระที่ ๒ แทน ซึ่งจักระที่สองจะนำเอามาใช้ได้ง่าย และเร็ว
กว่าจักระอื่นๆ จึงใช้เป็นพลังงานในการทำกิจต่างๆ มากกว่าพลังจากจักระอื่นซึ่ง
อยู่ในระดับลึุกกว่า วิธีการเคลื่อนพลังกุณฑาริณีลงมาเก็บที่จักระที่ ๒ ผมไม่ค่อย
ชำนาญจะยังไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ครับ (ท่านสามารถอ่านได้ จากแหล่งตำราอื่น)
ขับพลังตกค้างแบบวัชระ
กรณีที่ฝึกแล้วมีปัญหาเรื่องพลังตกค้าง ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือปวดบางจุดในร่างกาย
ให้ท่านขับพลังปราณเสียที่ตกค้างในบริเวณนั้นออกให้หมด จนรู้สึุก "โปร่งโล่งสบาย"
ซึ่งจะมี ๒ สาย คือ ๑. สายตันตระ จะใช้ท่าโยคะ่ต่างๆ ในการขับปราณเสียออก และ
๒. สายวัชระจะไม่ใช่ท่าโยคะหรือการทำสมาธิแบบใดๆ แต่จะใช้ "การทำิกิจตามปกติ
หรือกิจกรรมในชีวิตประจำวัน" ในการขับพลังปราณเสียออกมา ไม่ว่าท่านจะมีกิจใดก็
ตาม เช่น หลวงจีนกวาดลาน มีหน้าที่กวาดลานวัด ก็กวาดไป ถ้าเข้าใจหัวใจวัชระมัน
ก็จะเป็นการฝึกจิตได้ในตัว แต่ถ้าไม่เข้าใจเคล็ดวัชรยาน มันก็แค่คนกวาดวัดไปวันๆ ก็
ไม่มีความก้าวหน้าในการฝึก หลักการคือ "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" หรือธรรม
ชาติของสิ่งมีชีวิตในโลก มีระบบฟื้นฟู เยียวยาตัวเองอยู่แล้ว ถ้าระบบไม่พัง ไม่ป่วย ก็
ทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยเราจะทำงานตามปกติ ทำหน้าที่ตามปกติไป มันก็จะเยียวยา
ให้เราได้เอง โดยไม่ต้องมี "การฝึกแบบใดๆ" ทั้งสิ้น (ตรงนี้คือข้อแตกต่างใน ๒ สาย)
อนึ่ง พลังแห่งกามและพลังแห่งรัก อยู่คนละจักระกัน กล่าวคือ พลังแห่งรักจะอยู่จักระสี่
(จักระหัวใจ) แต่พลังแห่งกามจะอยู่จักระหนึ่ง (จักระเพศ) หากท่านต้องการทราบว่าคน
ที่ท่านคบด้วยเขามีความรักหรือกามต่อท่าน ก็ไม่ยากเลย สังเกตุพลังของเขาว่าจักระใด
ที่ตื่นหรือถูกปลุกแล้ว ก็แสดงว่าเขาเป็นเช่นนั้น เช่น ถ้าจักระที่หนึ่งของเขาตื่น แ่ต่จักระ
ที่สี่กลับไม่ตื่น แสดงว่าเขามีแต่ความใคร่ต่อเรา ไม่ได้มีความรักต่อเรา แต่ถ้าจักระที่ ๔
ของเขาตื่นขึ้น โดยที่จักระที่หนึ่งยังไม่ตื่น แสดงว่าเขารักเรา โดยไม่มีความใคร่เจือปน
ง่ายๆ นะครับ ทีนี้ พลังในจักระที่หนึ่งกับสี่นั้น ไม่เหมือนกัน ถ้าท่านสัมผัสพลังสองส่วน
นี้ได้ แยกแยะได้ชัดเจน มันก็ไม่ยากแล้วครับที่จะดูว่าพลังที่ตื่นขึ้นนั้นเป็นพลังของอะไร
พลังงูร้อน คุมได้ยาก?
ครับ ถ้าพลังงูร้อนตื่นขึ้นแล้ว เราควบคุมไม่ได้ เราจะกลายเป็นคนที่มีกามมาก เปลี่ยน
คู่นอนไปเรื่อยๆ เพราะพลังงานมากแต่เราควบคุมมันไม่ได้ อุปมาเหมือนมี "นางงู" ที่
เรียกร้องหาคู่ อยู่ในตัวของเรา มันเหมือนมีชีวิต มีจิตใจ เพราะัมันคือ ปราณชีพ แต่จะ
ไม่มีหน้าที่ซับซ้อน แบบจิตวิญญาณ มันมีหน้าที่ก็แค่เรื่องกาม เท่านั้นเอง ทีนี้ ถ้าพลัง
มันเยอะมากๆ เราจะคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้หาคู่นอนไปเรื่อยๆ กรณีนี้ ถ้ามีคู่ที่มีพลังซึ่ง
ตรงข้ามกัน คอยควบคุมดูแลกัน ก็จะช่วยได้ เช่น ผู้หญิงมีพลังงูร้อน ผู้ชายมีพลังงูเย็น
ก็จะคุมกันได้ ถ้าพลังพอๆ กัน (อุปมาเหมือนงูตัวใหญ่พอๆ กัน) แต่ถ้าูผู้ชาย มีงูตัวเล็ก
กว่าผู้หญิงๆ ก็จะเปลี่ยนไปหาคู่ใหม่ จนกว่าจะได้เจอคู่ที่มีพลังเหนือกว่าตน ที่คุมตนได้
กรณีที่ท่่านฝึกทั้งพลังงูร้อนและงูเย็น (ซึ่งทำได้ยากมากนะครับและอันตรายมากๆ ด้วย)
ท่านสามารถใช้พลัง ได้ทั้งสองด้านของกาม จะควบคุมกาม ก็ได้ (เย็น) หรือจะใช้พลัง
กามก็ได้ (ร้อน) ท่านก็จะไม่จำเป็นต้องมีคู่ แต่ปกติแล้ว เขาจะไม่ฝึกกันทั้งสองอย่างนั้น
ปกติเขาจะฝึกแต่อย่างเดียว ถ้าฝึกเป็นคู่ คนหนึ่งฝึกงูร้อน คนหนึ่งฝึกงูเย็น ทั้งคู่เป็นแฟน
กันก็จะคอยควบคุมพฤติกรรมทางเพศให้กันและกันได้ครับ และปกติ เมื่อเราทะลวงจักระ
เราก็มักทะลวงได้ด้วยงูร้อนหรืองูเย็น อย่างใดอย่างหนึ่งครับ ถ้าเราทะลวงได้ด้วยงูเย็นก็
ใช้พลังงูเย็นได้เรื่อยๆ แต่ถ้่าทะลวงได้ด้วยงูร้อน เราก็จะใช้พลังงูร้อนเรื่อยๆ ปกติในชีวิต
เราก็จะทะลวงจักระ ๗ ครั้งเดียวก็พอแล้ว หรือถ้าจะทะลวงอีก (แบบว่า มีพลังล้นเหลือ)
ก็มักใช้พลังชนิดเดิม ดังนั้น การฝึกพลังกุณฑาริณีจึงควรฝึกเป็นคู่ ด้วยเหตุนี้ ทีนี้ เวลามี
กามกัน สมมุติฝ่ายหนึ่งมีงูร้อน เขาจะมีความต้องการกามมาก ถ้าผู้ชายมีพลังงูเย็นไม่พอ
ผู้ชายจะหลั่งเร็วกว่า เร็วก่อนที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสูงสุด ผู้หญิงจะเกิดอารมณ์ค้าง แต่ก็ไม่
บอกออกมาตรงๆ เมื่อนั้นเขาก็จะเริ่มออกห่างจากชายคนเดิมไปหาชายคนใหม่ ที่มีพลังงู
เย็นที่มากกว่าและสามา่รถทำให้เขาถึงจุดสูงสุดได้พร้อมๆ กัน ตรงนี้พอเห็นภาพชัดไหม?
เคล็ดลับเพิ่มพลังกุณฑาริณี
พลังทุกชนิดมีตั้งแต่ขั้นน้อยๆ ไปจนมากขึ้นได้เรื่อยๆ สำหรับพลังกุณฑาริณีดัง
ที่บอกแล้วว่าเป็นพลังกามโดยตรง และมีสองขั้ว (บวกและลบ) ดังนั้น หากจะ
เพิ่มพลังกุณฑาริณีก็ไม่ยาก คือ ทัศนคติที่เป็นบวกมากขึ้นหรือลบมากขึ้น ก็จะ
ทำให้พลังกุณฑาริณีเพิ่มขึ้นได้ เช่น ถ้าเรามีทัศนคติเชิงลบ ที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ
เราก็จะมีพลังกุณฑาริณีเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะเลือดเย็น โหดเหี้ยมมากขึ้นจน
ถึงขั้นฆ่าคนที่มีกามกันได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย หรือถ้าเรามีพลังร้อน
มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะกลายเป็น "ผู้หญิงร่านสวาท เร่าร้อน เริงกาม" แบบที่ไม่
อาจหยุดได้ ผู้ชายผ่านมากี่คนๆ ก็เสพไม่พอ ไม่รู้จักอิ่มในกาม อันนี้ คือ กรณี
ที่ควบคุมไม่ได้นะครับ แต่สำหรับผู้ฝึกตันตระกุณฑาริณีอย่างถูกต้องแล้ว ย่อม
ไม่เ็ป็นเช่นนั้นเพราะเขาไม่ถูกพลังควบคุม เขาเรียนรู้จักพลังจึงสามารถควบคุม
มันได้ ทั้งยังสามารถแปรเปลี่ยนพลังนั้น มาใช้ในทางอื่นๆ ได้มากมาย เรียกว่า
เปลี่ยนพลังกามเป็นพลังสร้างสรรค์ได้ (ขั้นเปลี่ยนเส้นเอ็น) เขาจะสามารถเพิ่ม
ระดับพลังขึ้นไปได้เรื่อยๆ ไม่มีขีดจำกัด ยิ่งกว่านั้น "ยังสามารถดูดซับพลังที่อยู่
ในตัวคนอื่น (ที่เขาไม่อาจควบคุมมันได้แล้ว) มาใช้ได้อีกด้วย" นั่นก็คือ ขั้นสูง
อนึ่ง พลังกุณฑาริณีร้อน มีความร้อนเหมือนพลังหลายชนิด แต่กำเนิดจากจักระ
ที่หนึ่ง ในขณะที่พลังร้อนอื่นมีกำเนิดจากแหล่งอื่น เช่น พลังเอี้ยงจากจักระสอง
ตรงนี้ ท่านอย่าสับสนครับ เพราะเป็นพลังคนละชนิดกัน และมีวิีธีฝึกแตกต่างกัน
(กุณฑาริณีทะลวงเปิดจักระเจ็ด ถือว่าสำเร็จวิชา, เก้าเอี๊ยง ระเบิดพลังจากภาย
ใน นับว่าสำเร็จวิชาเช่นกัน ซึ่งเก้าเอี๊ยงจะเกิดเวลาทำสมาธิพร้อมลมหายใจเช่น
สวดมนต์, เป่าขลุ่ย, ร้องเพลง ฯลฯ ถ้ามากถึงจุดหนึ่งก็สำเร็จขั้นสูงสุดได้ครับ)
เก้าสุริยัน-ทศสุริยัน
พระสุริยเทพจะทำงานร่วมกันเป็นทีม ๑ ชุดมี ๑๐ องค์ หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปตามเวร
ในพระสุริยเทพทั้ง ๑๐ องค์นั้น มีพลังธาตุไฟไม่เท่ากัน ไล่จากองค์ที่ ๑ ถึงองค์ที่ ๑๐
เมื่อฝึกพลังสุริยันธาตุไฟ จะได้รับการคุ้มครองจากพระสุริยเทพ เมื่อมีพลังขั้น ๑ จะได้
รับการคุ้มครองจากพระสุริยเทพองค์ที่ ๑ เมื่อมีพลังเิพิ่มขึ้นไปถึงขั้นที่ ๒ ก็จะไ้ด้รับการ
คุ้มครองจากพระสุริยเทพองค์ที่ ๒ ไล่ไปจนถึงขั้นที่เก้า เรียกว่า "เก้าสุริยัน" ก็จะได้รับ
การคุ้มครองจากพระสุริยเทพองค์ที่ ๙ ซึ่งมีจิตเมตตามาก คอยคุ้มครองโลกมนุษย์อยู่
โดยร่วมมือกับพระนารายณ์ (โหวอีู้ผู้ยิงดวงอาทิตย์ด้วยธนู) ดังนั้น ผู้ฝึกเต๋าจึงฝึกหยุด
อยู่ที่ขั้นเก้า (เก้าสุริยัน) เมื่อฝึกเกินไปกว่านั้นจะกลายเป็น "ทศสุริยัน" ซึ่งพระสุริยเทพ
องค์ที่ ๑๐ จะเข้ามาดูแล ทว่า พระสุริยเทพองค์ที่ ๑๐ จะดุร้ายและทำงานสร้างมนุษย์
แบบใหม่ อันจะส่งผลให้ต้องกวาดล้างมนุษย์พลังงานเก่า (ก็อาจทำให้เกิดการฆ่าล้าง
เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้) พระสุริยเทพองค์ที่ ๙ จะพยายามยื้อเวลาไว้ ส่วนเทพโหวอี้ (ซึ่งก็
คืออวตารหนึ่ง ของพระนารายณ์) จะยิงพระสุริยเทพองค์ที่ ๑๐ ด้วยธนู เพื่อหยุดไม่ให้
เกิดการล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลังโหวอี้ปราบพระสุริยเทพองค์ที่ ๑๐ สำเร็จก็ต้องคำสาป
ของเจ้าแม่แห่งพระสุริยเทพ (เจ้าแม่ผู้ให้กำเนิดพระสุริยเทพทั้ง ๑๐ องค์) ทำให้จะต้อง
แยกจากคู่รักของตนตลอดไป (โหวอี้ต้องเวียนว่ายตายในโลกตลอดไปส่วนคู่รักเขาคือ
เทพพระจันทร์ก็จะไปสู่พระจันทร์) เนื้อหาเหล่านี้ผมนำมาจากภาพยนต์เรื่อง "เทพยุทธ
เจ้าจันทรา" ซึ่งผมหาข้อมูลมากกว่านี้ ดีกว่านี้ ละเอียดกว่านี้ไม่ได้เลยจำต้องนำข้อมูล
จากภาพยนต์เรื่องนี้มา แต่ก็นับว่ามีบางอย่างที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผมสัมผัสได้มากครับ
ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อแต่ผมก็จำเป็นต้องทำงานเรียบเรียงข้อมูลต่อไป ที่เหลือก็ขอให้
ท่านทั้งหลายใช้ความสามารถในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไปครับ (เมื่อท่านฝึกพลังเก้า
เอี๊ยงแต่ละขั้น ท่านจะสัมผัสได้ถึงพระสุริยเทพแต่ละองค์ที่มีวิสัยต่างกัน เช่น บางองค์
จะเปิดเผยพูดหมด บอกหมด บางองค์จะไม่พูดอะไรแต่ใช้การกระทำแสดงทุกอย่างแต่
องค์ที่เก้า จะไม่ยอมเชื่อฟังพวกฟ้อง เมื่อไม่ยอมเดินพลังธาตุไฟก็จะถูกพลังเย็นแทรก
ซึ่งแม้แต่เตียบ่อกี้ที่ฝึกเก้าเอี้ยง ก็มีวิบากกรรมเช่นนี้ ท่านลองฝึกเองก็จะทราบเองครับ)
ข้อมูลบางส่วนมาจากภาพยนต์ คิดว่าหลายท่านคงมองว่าไม่น่าเชื่อถือ ก็ไม่เป็นไรครับ
ขอให้ปฏิบัติไปให้ถึงก็แล้วกัน ก็จะทราบความจริงเอง ผมทำได้แค่เรียบเรียงหา้ข้อมูลที่
มี เท่าที่ได้มาเท่านั้นครับ อนึ่ง สำหรับผู้ที่ฝึกพลังสายสุริยัน ให้ฝึกจักระที่ ๔ (จักระ หัว
ใจ) ถ้าท่านฝึกคุมพลังธาตุไฟ ท่านจะได้เทพโหวอี้คุ้มครอง และต้องรับคำสาป ทำให้
ไม่อาจมีคู่ครองได้ จะถูกจับแยกจากคู่รักของท่านไปตลอดและท่านต้องเวียนว่ายอยู่ใน
โลกตลอดไป ซึ่งท่านเสี่ยงจะกลายเป็น "ร่างซาตาน เพื่อรับภาคมืดของโหวอี้" เช่นกัน
พระสุริยเทพองค์ที่ ๑๐ มหาเทพเมตตรอน
พระสุริยเทพแต่ละองค์มีวิสัยและการบำเพ็ญบารมี ไม่เหมือนกัน องค์ที่ ๑๐ เป็นพี่ใหญ่
มีพลังธาตุไฟสูงสุด มีความคิดจะทำให้ทั้งโลกเป็นเชื้อสายของพระสุริยเทพทั้งหมดซึ่ง
จะส่งผลให้เกิดการล้างเ่ผ่าพันธุ์ของมนุษย์ยุคเก่าหรือพลังงานเก่า องค์นี้่มีนามว่า มหา
เทพเมตตรอน (Mettratron) ซึ่งได้สื่อสารผ่านนักรับสาร์นชาวโลกมานานแล้ว โดย
มีคนไทยบางท่านแปลบทความเหล่านี้ (ซึ่งก็คือ "คุณชยุตต์" ทางเว็บพลังจิต เป็นต้น)
หลักการของท่านคือ การสร้างโลกใหม่, สร้างมนุษย์ใหม่ ซึ่งท่านมีพลัง มีไฟมาก จึงมี
แนวคิดยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ทว่า ไม่ใช่ท่านผิด หรือถูกอะไร เมื่อใดถึงวาระเทพองค์นั้น ก็
จะมาทำหน้าที่และเมื่อหมดวาระก็จะมีผู้ช่วยทำให้จบ หรือคือ "เทพโหวอี้" ตามตำนาน
จีนนั่นเอง ก่อนหน้านี้ "พระสุริยเทพองค์ที่ ๙" ได้สื่อสารมายังผม ทำให้ผมเข้าใจเรื่อง
ราวของบทความเหล่านั้นได้ (ทั้งๆ ที่เป็นคนเข้าใจอะไรได้ยากมาก) เืพื่อให้ผมช่วยยื้อ
เวลาไว้ก่อน รอให้ร่างที่บำเพ็ญรับพลังโหวอี้ ฝึกวิชาสำเร็จแล้ว ทั้งสองก็จะคานอำนาจ
กันได้ พระสุริยเทพทุกองค์มีบางอย่างเหมือนกัน และบางอย่างแตกต่างกัน ที่เหมือนกัน
คือ ท่านชอบประชาธิปไตย ท่านรักเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ท่านต้องการให้โลก
มีความเท่าเทียมกันทั้งหมด (ทั้งๆ ที่มนุษย์โลกไม่พร้อมจะเป็นเช่นนั้น) ดังนั้นผมจึงได้
รับการสื่อสารจากโหวอี้ เืพื่อให้ทานอำนาจกับพลังของมหาเทพเมตตรอน ซึ่งเกี่ยวข้อง
กับพวกอิลูมินาติ ก่อนที่มนุษย์โลกจะถูกล้างเผ่าพันธุ์เืพื่อสร้างใหม่ (ก่อนหน้านี้อิลูมินา
ติ ก็มีนโยบายลดจำนวนประชากรโลก ทั้งยังมีการตัดต่อพันธุกรรมเชื้อโรค ทำให้เกิดมี
โรคประหลาดเกิดขึ้นเช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โรคไข้หวัดนก โรคเอดส์ เป็นต้น)
แต่หากเราต่อต้านการทำกิจของภาคสว่าง เราจะกลายเป็นภาคมืด เป็นร่างซาตานของ
โหวอี้ภาคมืด (นารายณ์มืด) ไม่ได้ไปสู่สวรรค์และต้องเวียนว่ายอยู่ในโลกนี้ตลอดกาล
ไม่อาจกลับคืนสู่ "ดาวแม่" ของเราได้ ทว่า ถ้าเราไม่ทำ มนุษย์โลกจะตายด้วยไฟซึ่งก็
ไฟสงคราม ทว่า พระแม่ไกอาก็ได้สื่อสารมาช่วยผมเช่นกัน เพื่อให้ผมร่วมมือกับมนุษย์
โลกอีกมากมายที่ทำหน้าที่นี้ร่วมกันอยู่ โดยพระแม่ไกอาจะช่วยให้พลังไอกาแก่ผมๆ จะ
สามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ ปรับตัวได้มากขึ้น ไม่อ่อนแอมากเกินไป (ในร่างมนุษย์นี้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น