การสะกดจิต
นั้นนิยามกันว่าเป็นการทำโดยผู้อื่นที่ทำให้คนที่ถูกสะกดจิตมีสภาพจิตครึ่งหลับครึ่งตื่น และจำไม่ได้กับพฤติกรรมของตนในระหว่างที่ตนถูกสะกดจิตอยู่นั้น การสะกดจิตตนเองที่ก็คือการทำสมาธิที่นักจิตวิทยาถือว่าเป็นสภาพการสะกดจิตอย่างเบาๆ ประการหนึ่ง โดยการพิจารณาหรือสร้างความคิดมุ่งเน้นเฉพาะต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่เพียงอย่างเดียว (one-pointed mind concentration)
โดยยุติความคิดในด้านอื่น การสร้างสมาธิด้วยวิธีนี้จะต้องพร้อมใน 3 รูปแบบ คือความตั้งใจภายในด้วยจิตที่มุ่งมั่น (intention)
หนึ่ง ความตั้งใจจากภายนอกด้วยกาย วาจา จิตใจ (attention) เช่น อยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบ หนึ่ง
และการทำเช่นนั้นอย่างซ้ำๆ (repetition) อีกหนึ่ง และทั้ง 3 รูปแบบนี้จะหลงลืมหรือหย่อนยานอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้เด็ดขาด และทั้งหมดนั้นทางศาสนาตะวันออกที่อุบัติขึ้นที่อินเดียและจีนจะบอกว่าต้องทำสมาธิไม่ต่ำกว่า 10% ของวันวันหนึ่งที่มี (2.5 ชั่วโมงต่อวัน) เป็นเวลานาน มิน่าที่ผู้เขียนถึงรู้สึกตกใจที่สำนักปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรมต่างก็บอกผู้เขียนว่า อย่างน้อยจะต้องทำสมาธิในทางพุทธศาสนาวันละ 2 ชั่วโมง เช้าชั่วโมง เย็นชั่วโมงไปตลอดทั้งชีวิต
บี.อแลน วอลเลซ นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงของโลกและนับถือพุทธศาสนา เพราะได้ติดตามองค์ทะไล ลามะ มาตลอดถึงได้กล่าวว่าการทำสมาธินั้นต้องทำให้ได้รวมกันแล้วถึง 10,000-15,000 ชั่วโมงค่อนข้างจะติดต่อกัน (B.Alan Wallace : Hidden Dimensions, 2007)
แล้วปีหนึ่งๆ ก็มีเพียง 365 วันเท่านั้น ตลอดทั้งชีวิตที่เหลือของผู้เขียนจึงถูกต้องตามสำนักที่สอนสมาธิปฏิบัติบอกดังกล่าวมานั้น อภิญญาในพุทธศาสนา-ความรู้เหนือธรรมชาติ (extrasensory perception หรือ ESP อันเป็น paraphysics) หรือเป็นคำตอบของคำถามที่เราอยากรู้อันเป็นการทำนายอนาคตนั้น ริชาร์ด อแลน มิลเลอร์ นักฟิสิกส์ที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นผู้ปฏิบัติสมาธิของเซนพุทธศาสนาได้บอกว่า ว่ากันตามจริงก็เป็นการคาดการณ์ (เดา) แต่ดีกว่าการเดาสุ่มๆ ไปเท่านั้นมากนัก คือ ดีกว่าการเดาของผู้ไม่ปฏิบัติสมาธิเลยที่เฉลี่ยได้เพียง 22-27 ใน 100 ครั้ง
หรือคนที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติที่มีชื่อ (psychics) เช่น คนทรงเจ้า อาจารยโหราศาสตร์ ฯลฯ ทำนายได้ที่อย่างดีก็ถูกเพียง 61 ครั้ง แต่หากสะกดจิตตัวเองแบบที่ริชาร์ด มิลเลอร์ แนะนำคือ ทำตามสมการที่มิลเลอร์ให้มา (ดูข้างล่าง) จะทำนายได้ถึง 83 ใน 100 ครั้ง ที่สำคัญคือ มิลเลอร์บอกว่าจักรวาลเป็นโฮโลแกรม (holographic universe) เป็นคนแรกตั้งแต่ช่วงต้นของทศวรรษที่ 1960 และที่สำคัญกว่านั้นมิลเลอร์ยังบอกว่าเป็นพลังงานจิตซึ่งก่อให้เกิดอภิญญา (ที่ทางวชิรญาณและมหายานพุทธศาสนาบอกว่าแยกออกจากจิต (ไร้สำนึก) ของจักรวาลไม่ได้ ทั้ง 2 ได้แยกตัวออกมาจากสุญตาหรือความว่างเปล่า (void) อภิญญานั้นพระพุทธเจ้าไมค่อยสนับสนุนนัก เพราะเป็นเรื่องที่คนทำสมาธิที่จะได้ทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะติดอยู่ตรงนั้น จึงเลยมักจะไม่ขวนขวายแสวงหาปัญญาและการหลุดพ้นต่อ ซึ่งพุทธศาสนาถือว่าปัญญาคือจุดสุดยอดดังที่ผู้เขียนเล่าไว้หลายครั้งแล้ว) และมิลเลอร์ยังบอกว่า หากพลังงานจิตและจิตจักรวาลมีไม่พอ ซึ่งหมายความว่าหากไม่เข้มข้น (intense) พอ ก็ให้ทำสมาธิซ้ำๆ ต่อไปเพื่อให้สมาธินั้นมีความเข้มข้นพอ การสะกดจิตตัวเองที่ก็เป็นการทำสมาธิตามที่ริชาร์ด อแลน มิลเลอร์ ได้ร่วมวิจัยมาตั้งแต่ปีต้นๆ ทศวรรษที่ 1970 นั้น และตอนหลังได้กลายเป็นโครงการของกองทัพเรือของสหรัฐอเมริกา (U.S. Navy - SEALS) ได้สรุปว่าการสะกดจิตตัวเองคือการทำสมาธิและการได้รับ "ความรู้เหนือธรรมชาติ" (อภิญญา) ซึ่งหากจะเอาเพียงแค่นี้ ใครๆ ก็ทำได้หรือทำนายได้ (ไม่จำเป็นต้องเป็น psychics)
แต่ต้องเข้าถึงจิตที่ "ว่างเปล่าโดยปราศจากความคิดใดๆ" (blank mind)
ในขณะเข้าภวังค์ (trance) แล้วพยายามตอบคำถามที่อยากรู้นั้นหรือทำนายได้นั้น "อย่างเข้มข้น" แต่ต้องระลึกเสมอว่าตนนั้นไม่ใช่อรหันต์และทำนายได้ถูกต้องเผงเพียง 83% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 17% จึงผิดทั้งหมด และนั่นก็ไม่ใช่น้อยหากเป็นเรื่องทำนายอนาคตของโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น