วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กระบวนท่าที่หกในวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบต

กระบวนท่าที่หกในวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบต*
หลังจากที่ปีเตอร์ เคลเดอร์ ผู้เขียนหนังสือ “เคล็ดลับโบราณของแหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว” (ค.ศ. 1939) ได้ทดลองฝึกกระบวนท่าทั้งห้าของทิเบตเป็นเวลาสามเดือน จนกระทั่งเห็นผลปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ผู้พันแบรดฟอร์ดได้บอกกับเคลเดอร์ว่า ตอนนี้ตัวเขาอายุ 73 ปีแล้ว เคลเดอร์แทบไม่เชื่อสายตาเลย เพราะดูไปผู้พันแบรดฟอร์ดดูเหมือนมีอายุแค่สี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง (ดูอ่อนเยาว์ลง 30 ปี)
ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกกับเคลเดอร์ว่า เขาเพิ่งหัดวิชานี้ได้แค่ 10 อาทิตย์ ก็ยังเห็นผลของมันแล้ว และถ้าเขาหัดต่อเนื่องไปอีกสองปี เขาก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเขามากยิ่งกว่าที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้อีก แต่ถ้าเขาหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่านั้น อย่างที่มันได้เกิดกับตัวผู้พันแบรดฟอร์ดมาแล้ว เขาก็ต้องหัด กระบวนท่าที่หก ซึ่งผู้พันแบรดฟอร์ด ยังไม่ได้บอกเคลเดอร์
ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกว่า ที่ผ่านมา เขาไม่ได้บอกเคลเดอร์เรื่องกระบวนที่หก เพราะเขาอยากให้เคลเดอร์ได้เห็นผลจากการฝึกหัดกระบวนท่าทั้งห้านี้ก่อน อันที่จริง แค่การฝึก “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้ ก็ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ และความคึกคักมีชีวิตชีวาของเคลเดอร์ให้กลับมาหนุ่มขึ้นได้แล้ว และถ้าหากเคลเดอร์ต้องการจะกลับมาหนุ่มขึ้นจริงๆ ยิ่งกว่านั้น ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกว่า เคลเดอร์จะต้องหัด กระบวนท่าที่หก ด้วย
แต่การจะหัด กระบวนท่าที่หก นี้ มันมีข้อจำกัดที่ผู้ฝึกต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดมากไม่เหมือนกับห้ากระบวนท่าแรก เพราะฉะนั้นคนที่จะหัดกระบวนท่าที่หกได้ จึงต้องเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจริงๆ เท่านั้น เพราะผู้นั้นจะต้องถือพรหมจรรย์ไม่ยุ่งเกี่ยวทางเพศอีกเลยหลังจากเริ่มฝึกกระบวนท่าที่หกนี้แล้ว
คำอธิบายหรือเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็คือ ในระบบของโยคะหรือของเต๋า (วิชาเซียน) จะถือว่า พลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงจักระทั้งเจ็ดในร่างกายของคนเรานั้น จะถูกแปลงเป็นพลังทางเพศก่อน สำหรับผู้คนทั่วไปที่มิได้ฝึกวิชาลมปราณ พลังทางเพศนี้ส่วนใหญ่จะถูกใช้หรือถูกผลาญให้เหือดหายไปขณะที่อยู่ที่จักระที่หนึ่ง โดยแทบไม่มีโอกาสส่งไปบำรุงเลี้ยงจักระทั้งหกที่เหลือได้อย่างสมบูรณ์พอเลย
เพราะฉะนั้น ในการจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็น “ยอดคน” ตามระบบของโยคะ หรือระบบของเต๋า (วิชาเซียน) นั้น พลังชีวิตที่ทรงพลังอันนี้จะต้องได้รับการสะสมเอาไว้ภายในร่างกาย และถูกส่งต่อขึ้นไปยังส่วนบนของร่างกาย เพื่อให้จักระทั้งหมดได้ใช้ประโยชน์จากมัน โดยเฉพาะจักระที่เจ็ด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ฝึกจะต้องถือพรหมจรรย์เพื่อสงวนและนำพลังทางเพศนี้ไปใช้ใหม่ในจุดมุ่งหมายที่สูงส่งยิ่งขึ้นกว่าเรื่องเพศ เช่น ในเรื่องศิลปะ งานที่สร้างสรรค์ และเรื่องทางจิตวิญญาณ
การดึงพลังทางเพศขึ้นไปที่ส่วนบนของร่างกายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ มักจะล้มเหลวในการทำสิ่งนี้ ก็เพราะพวกเขาพยายามที่จะควบคุมพลังทางเพศ โดยการไปกดข่มมัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ผิดพลาด แนวทางที่ถูกและเป็นแนวทางเดียวที่จะควบคุมพลังทางเพศอันทรงพลังนี้ได้ก็คือ การแปรรูป (transmute) มันให้เป็นพลังงานขั้นสูง พร้อมกับดึงมันไปใช้ที่ส่วนบนของร่างกายด้วยในเวลาเดียวกัน
กระบวนท่าที่หกนี้เป็นท่าที่ง่ายมาก สามารถทำได้ทุกที่ แต่ผู้ฝึกควรหัดท่านี้ต่อเมื่อผู้ฝึกรู้สึกว่าตัวเองมีพลังทางเพศมากเกินไป หรือเมื่อรู้สึกเกิดกำหนัดรุนแรงเท่านั้น วิธีฝึกกระบวนท่าที่หกเป็นดังนี้ ก่อนอื่นให้ผู้ฝึกยืนตัวตรง ค่อยๆ ระบายอากาศทั้งหมดออกจากปอดของตน ขณะที่ทำเช่นนี้ ให้ผู้ฝึกงอลำตัวลง โดยวางสองมือของตนไปแตะหัวเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นขับอากาศก้อนสุดท้ายออกจากปอดของตนจนปอดของตนว่างเปล่า แล้วจึงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า พร้อมๆ กับยกตัวกลับมายืนตรงในท่าเดิม ต่อจากนั้นให้ผู้ฝึกเลื่อนมือมาแตะที่สะโพกของตน กดมันลงไป มันจะยกไหล่ของตนเองขึ้นมา ขณะที่ผู้ฝึกทำเช่นนี้ ให้หดช่องท้องของตนเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะเดียวกันให้กักลมเอาไว้ โดยที่ผู้ฝึกจะต้องอยู่ในท่านี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ในขณะนั้น หน้าอกของผู้ฝึกจะถูกยกขึ้นมา เมื่อผู้ฝึกจำต้องหายใจเข้าให้อากาศไหลเข้าสู่ปอดที่ว่างเปล่าของตน จงหายใจเข้าผ่านรูจมูก เมื่ออากาศเข้าไปจนเต็มปอดให้หายใจออกทางปาก ขณะที่หายใจออกจงผ่อนคลายแขนทั้งสองข้าง ปล่อยมันวางข้างๆ ลำตัวอย่างช้าๆ เป็นธรรมชาติ จากนั้นหายใจลึกๆ หลายครั้งผ่านจมูก และปล่อยให้มันไหลออกทางปากหรือจมูกก็ได้ เป็นการจบกระบวนท่าที่หกนี้
กระบวนท่าที่หกนี้ ควนทำซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อแปรรูปพลังทางเพศในตัวผู้นั้น และดึงพลังนี้ขึ้นส่วนบนของร่างกาย หลังจากนั้นแล้ว ถ้าจะให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ผู้ฝึกก็ควรจะฝึกบำเพ็ญภาวนาต่อโดยการนั่งสมาธิหรือเดินสมาธิหรือยืนสมาธิ หรือนอนสมาธิเพื่อการบ่มเพาะพลัง และแปรรูปพลังทางเพศให้กลายเป็นพลังปราณ และกลายเป็นพลังจิตวิญญาณในที่สุด ถึงจะเป็นการฝึกตามโมเดลโยคะที่สมบูรณ์
มีความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวดำรงอยู่ระหว่างคนที่มีสุขภาพแข็งแรงกับคนที่เป็น “ยอดคน” ก็คือ คนประเภทแรก แปลงพลังชีวิตให้เป็นพลังทางเพศได้เท่านั้น ขณะที่คนประเภทหลังจะทำการแปรเปลี่ยนพลังนี้ให้เป็นพลังที่สูงส่งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างสมดุลและปรองดองกับจักรวาลโดยผ่านจักระทั้งเจ็ด
จะเห็นได้ว่า สำหรับ “ยอดคน” แล้ว แหล่งน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาวนั้น อยู่ภายในตัวของเขาเองอยู่แล้วตลอดเวลา และน้ำอมฤตก็เป็นสิ่งที่ถูกกลั่นมาจากภายในร่างกายเขานั่นเอง โดยไม่จำเป็นต้องออกไปแสวงหาข้างนอกแต่อย่างใดเลย
นอกจากนี้ ควรเข้าใจถึง ปฏิบท (paradox) ของกระบวนท่าที่หก ด้วยว่า กระบวนท่าที่หกนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่เดินอยู่บน วิถียอดคน เท่านั้น เพราะผู้ที่เป็นยอดคน จะเป็นผู้ที่มีพลังชีวิตและพลังทางเพศมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนคนที่มีพลังทางเพศน้อยอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจหัดกระบวนท่าที่หกนี้ เพราะคนผู้นั้นไม่มีพลังทางเพศที่มากพอที่จะไปแปรเปลี่ยนมัน ถ้าขืนหัดไปอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายของผู้นั้นได้ ทางที่ดีจึงควรหัดวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตให้กลับมามีพลังทางเพศเป็นปกติก่อน ส่วนยอดคนที่มีพลังทางเพศมากเป็นปกติอยู่แล้ว จึงควรหัดกระบวนท่าที่หกอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่า กระบวนท่าที่หก เป็นกระบวนท่าสำหรับคนที่มุ่งก้าวข้ามเรื่องเพศนี้ไปแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความสุขอย่างอื่นในชีวิตที่มิใช่กามสุข สำหรับคนที่ยังไม่อิ่มในกามสุข และไม่รู้เคล็ดลับของวิชาตันตระ หรือวิชาเต๋าแห่งเพศ จึงยังต้องต่อสู้เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกทางเพศอยู่ การฝืนธรรมชาติในเรื่องนี้อาจทำให้พลังเดินผิดทาง เกิดเป็นความขัดแย้งภายในจิตใจที่เก็บกดอย่างรุนแรงได้ จึงควรระวังให้มากๆ และควรใส่ใจกับการฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” เท่านั้นก็พอ
อนึ่ง น้ำเสียงของบุรุษคือดัชนีที่บ่งบอกพลังชีวิต และพลังทางเพศของบุรุษผู้นั้นได้ดีที่สุด บุรุษที่มีน้ำเสียงต่ำทุ้ม ย่อมแสดงว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีพลังทางเพศสูงกว่าบุรุษที่มีน้ำเสียงสูงแหลม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะจักระที่ห้า (จักรคอ) ที่บริเวณลำคอนั้น มันเชื่อมโดยตรงกับจักระที่หนึ่ง (จักรฐาน) บริเวณอวัยวะเพศ และส่งผลต่อกันและกัน ดังนั้น เมื่อเสียงของคนผู้นั้นสูงแหลม ก็ย่อมแสดงว่า พลังทางเพศของผู้นั้นอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพลังงานในจักระที่หนึ่งต่ำ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังงานในจักระอื่นๆ ทั้งหกก็ย่อมต่ำตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น นอกจากจะควรฝึกวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตนี้เพื่อเร่งอัตราความเร็วในการหมุนจักระที่หนึ่งกับจักระที่ห้าแล้ว ผู้นั้นก็ควรฝึก “มนตราโยคะ” หรือการเปล่งเสียง “โอม...โอม...” ด้วยเสียงต่ำทุ้มอยู่เสมอ โดยในการฝึกออกเสียง “โอม” นั้นให้ผู้ฝึกแยกเสียงที่เปล่งออกมาเป็นสองท่อนคือ “โออ...” กับเสียง “มมม....” โดยก่อนออกเสียง ให้สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด แล้วระบายออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเปล่งเสียง “โอม...มมม...” ด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้มกังวานมีพลัง ขณะที่ปล่อยเสียง “โออ...” ให้บริเวณหน้าอกสั่นสะเทือน และขณะที่ปล่อยเสียง “มมม...” ให้บริเวณฐานจมูกสั่นสะเทือน เคล็ดของวิธีนี้อยู่ที่การสั่นสะเทือนของเสียง ที่จะช่วยวางแนวหรือจัดแนวจักระทั้งเจ็ดให้ตรงกัน ทำให้พลังไหลสะดวก
สรุปก็คือ เคล็ดวิชาเพื่อรักษาความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวนานตามโมเดลของโยคะนั้น อยู่ที่การทำให้อัตราการหมุนของจักระทั้งเจ็ดในร่างกายมีความสูงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่มิใช่แค่นั้นหรอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...