0381 วิปัสสนากรรมฐาน (ต่อจากเมื่อวาน)
ความจริงถ้าเรามีอิทธิบาท ๔ ที่แก่กล้า เราก็จะไม่หลงในนิมิต กล่าวคือถ้ามีฉันทะหรือความพอใจต่อการปฏิบัติ รักที่จะปฏิบัติ มีวิริยะพากเพียรต่อการปฏิบัติโดยไม่เกรงกลัวต่อความเหนื่อยยาก มีจิตตะหรือมีใจจดจ่อต่อการปฏิบัติ แม้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับกายกับจิต ก็ระลึกรู้ทันท่วงทีด้วยการมีสติคอยกำกับ เช่น รู้ว่านิมิตเกิดขึ้นแล้วและมีวิมังสา คือใคร่ครวญไตร่ตรองในธรรมหรือในนิมิตที่เกิดขึ้นว่าเป็นของไม่เที่ยง ผ่านมาก็ผ่านไป ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ปรุงแต่งในทางที่ชอบที่ชัง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ละ หรือ ปล่อยวาง ในนิมิตได้ หากทำได้เช่นนี้ตัววิมังสาก็จะเป็นตัวปัญญา
นอกจากนิมิตแล้วขณะที่เราภาวนาอิทธิบาท ๔ คือ ท่องคำว่า ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อาจจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งนอกเหนือไปจากนิมิตเกิดขึ้นกับกายกับจิตของเรา เช่น รู้สึกปวด เมื้อย คัน ตัวหนัก ตัวเบา ตัวร้อน ตัวเย็น หรือมีอารมณ์จรไปเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ให้รู้แล้วละ ตัวรู้คือสติ ตัวละคือตัวปัญญา (สติ : ระลึกได้จะมีปัญญารู้ติดตามมา)
การเจริญอิทธิบาท ๔ จะเพิ่มพลังของสติและปัญญา อิทธิบาท ๔ หมายถึง การเดินไปด้วยฤทธิ์หรือก้าวไปด้วยฤทธิ์ แต่จะมีฤทธิ์ได้นั้นก็จะต้องมีกำลังหรือพละควบคู่กันไปด้วย เพราะถ้ามีฤทธิ์แต่ไม่มีกำลัง ฤทธิ์นั้นก็ไปไม่รอด หรือมีกำลังแต่ไม่มีฤทธิ์ กำลังนั้นก็ไปได้ไกลเช่นกัน ดังนั้นธรรมะทั้งสองหมวดนี้จึงเกื้อกูลกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อเราเจริญอิทธิบาท ๔ แล้ว เราก็ต้องเจริญพละ ๕ ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น