เรื่อง "บั้งไฟพญานาค"
(วิสัชนาธรรมโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
โยม: อันนี้เขาส่งมาถามหลวงตา
หลวงตา : ถามว่ายังไง ใครถามมา ชื่อ....ครับ
หลวงตา : ผู้หญิงหรือผู้ชาย
โยม : ผู้หญิงครับ
หลวงตา : ถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เราอ่านไม่คอยชัด ลองอ่านดูซิเป็นยังไง
โยม : กราบเท้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพยิ่ง ขณะนี้สังคมไทยกำลังสับสนและถกเถียงกันเรื่องบั้งไฟพญานาค มีการสัมภาษณ์ คนลาวบอกว่าไม่มีใครดูบั้งไฟพญานาคเหมือนอย่างคนไทย
นอกจากนั้นบริษัทแกรมมี่ยังทำภาพยนตร์เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค โดยเน้นที่บั้งไฟ ว่าพระลาวเป็นผู้ทำขึ้นมากกว่าข้อสันนิษฐานอย่างอื่น ข้าน้อยคิดว่าความเชื่อเรื่องบั้งไฟพญานาค มีผลต่อความเชื่อในศาสนาพุทธเกี่ยวกับภพภูมิต่าง ๆ ที่ตาเนื้อมองไม่เห็น
รวมทั้งเรื่องตายแล้วเกิด และเรื่องกฎแห่งกรรม จึงขอให้พ่อแม่ครูบาอาจารย์โปรดกรุณาตอบเรื่องบั้งไฟพญานาค เพื่อให้เป็นหลักฐานแก่คนทั้งโลกได้ยินในครั้งนี้ด้วย ด้วยจิตคารวะ
หลวงตา : อันนี้เราก็เคยอธิบายมาแล้วตั้งแต่ยังไม่ถามปัญหานี้ขึ้นมา เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องตายแล้วสูญ นี่เราเทศน์แทบทุกวันละมัง อันนี้มันล้วนแล้วตั้งแต่เรื่องของกิเลสหลอกสัตว์โลกที่เป็นนักเกิดตายด้วยกัน ไม่มีใครด้อยกว่ากัน การเกิดการตายนี้เป็นนัก นักเกิดนักตายมาทั่วหน้ากันหมด จำนวนการเกิดของตัวเองแต่ละคน ๆ นี้มีจำนวนเท่าไร ๆ นับมา เกิดมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลยด้วยกัน
แต่กิเลสหูหนวกตาบอดมันก็มาบีบหูบีบตาคนเราซึ่งเป็นนักเกิดนักตายด้วยตัวเองนั้นแหละ ให้เชื่อตามมันว่า ตายแล้วสูญ นี่คือความโกหกของกิเลส ฝั่งของกิเลสว่าตายแล้วสูญจากใจดวงเดียวกัน
ส่วนฝั่งของธรรมนั้นตายแล้วเกิดตลอดกัปตลอดกัลป์มา แล้วยังจะต้องตายแล้วเกิดต่อไปอีกถ้าเชื้อแห่งความเกิดยังไม่สิ้นซากจากจิตใจ แล้วความเกิดจะเกิดต่อไปตลอด ไม่มีต้นมีปลายเช่นเดียวกัน นี้คือหลักความจริงแห่งธรรม
กิเลสมันไม่ได้พิสูจน์อะไรมันหลอกเอาเลย ว่าตายแล้วสูญ ๆ ลบล้างพวกเราที่เป็นนักเกิดนักตายตลอดสัตว์ทั้งหลายทั่วหน้ากันหมด ไม่มีงดเว้นว่าใครตายแล้วยังอยู่ไม่สูญ มีแต่ตายแล้วสูญ
นี้เป็นโวหารของกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋น หรือลูบหน้าปิดตาของสัตว์โลกให้เชื่อตามมันว่าตายแล้วสูญ นี่คือฝั่งของกิเลส ทีนี้ฝั่งของธรรม คำว่าฝั่ง ใจนี้เทียบเหมือนกับแม่น้ำลำคลอง
ฝั่งทางนี้เป็นฝั่งกิเลสลบล้างอรรถธรรมความจริงทั้งหลาย ฝั่งข้างนี้เป็นฝั่งของธรรม ลบล้างตัวจอมปลอมคือกิเลสที่มันหลอกลวงโลกมาตลอดเวลาให้หายซากไป ทรงไว้แต่ความจริงล้วน ๆ เท่านั้น
ทีนี้ฝั่งของกิเลส สัตว์โลกทั้งหลายที่ตายเกลื่อนมานี้นับกัปนับกัลป์ไม่ได้ แล้วยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนับไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสมันก็ลบล้างว่าตายแล้วสูญ นี่คือฝั่งของกิเลสตัวหลอกลวงสัตว์โลก ทีนี้ฝั่งของธรรมตายแล้วเกิด เพราะเหตุไร ทำไมถึงว่าตายแล้วเกิด กิเลสทำไมถึงว่าตายแล้วสูญ
สูญเพราะเหตุไร กิเลสไม่มีเหตุผลว่าสูญเฉย ๆ สูญเพราะเหตุไรตอบไม่ได้ แต่ธรรมนี้ว่า ตายแล้วเกิด เกิดเพราะเหตุไรธรรมนี้พิสูจน์ได้เลย คืออวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ฝังอยู่ในหัวใจสัตว์ ให้พาไปเกิดไปตายอยู่ตลอดมา ทีนี้เวลาธรรมนี้ชะล้างสิ่งปิดบังทั้งหลายให้สัตว์ทั้งหลายหลงงมงายว่า ตายแล้วสูญนี้ออกตามหลักความจริงว่าตายแล้วเกิดด้วยธรรม คือให้สะอาดสะอ้านภายในจิตใจ
ชำระล้างจิตใจเข้าไปเรื่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งด้วยจิตตภาวนา อันนี้เห็นชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างอื่นพิสูจน์ได้ยาก และพิสูจน์ไม่เห็นไม่มีทาง แต่เรื่องจิตตภาวนาออกจากหลักพุทธศาสนาของเราด้วยแล้วร้อยทั้งร้อย พิสูจน์เข้าไปจะไปเห็นตัวจริง ตัวที่เป็นเงาติดอยู่ในจิต พาให้สัตว์เกิดสัตว์ตายได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น
นี้แลตัวแทรกอยู่ในตัวจิต เป็นเงาอยู่ในตัวจิต แต่ทำลายตัวจิต หมุนตัวจิตให้เกิดให้ตายไม่มีเวลายับยั้งหรือหยุดยั้งได้เลย คือตัวนี้เอง เวลาภาวนาเข้าไป นี่เราพูดให้นักภาวนาได้พิสูจน์ด้วยว่า อยากจะเห็นเรื่องนี้ให้ภาวนา ทำจิตใจให้มีความสงบเย็น
ใจของเราวุ่นวายส่ายแส่ มีแต่กิเลสผลักดันออกไปให้คิด ให้ปรุงฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่มีวันเข็ดหลาบอิ่มพอ หมุนอยู่อย่างนั้นตลอดไป นี้คือฝั่งของกิเลสลากสัตว์โลกให้เป็นเพื่อความลุ่มหลงตลอดไป
ทีนี้ทำจิตที่มันวุ่นวายทั้งหลายนี้ให้เข้าสู่ความสงบ เอ้า ความสงบเราจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องกำกับใจของเราก็ได้ เช่น อย่างทางพุทธศาสนานี้ การที่จะนำคำบริกรรมมาเป็นที่เกาะที่ยึดของจิตนี้มีมากต่อมาก เช่น ท่านว่ากรรมฐาน ๔๐ ห้องมีได้ทั้งนั้น
แต่เราจริตนิสัยชอบในบทใด เช่น ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นจำนวนมากก็คือว่า พุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง อานาปานสติบ้างหรือว่ามรณัสสติ เป็นคำบริกรรมติดอยู่กับใจ นึกบริกรรม หรือว่าเราตาย ๆ อย่างนี้ก็ได้
หรือมรณัสสติว่าความตาย ๆ อยู่กับเราทุกคนอย่างนี้ก็ได้ ให้มีสติกำกับดูอยู่ในนั้น จิตของเราจะค่อยสงบลง ๆ พอจิตสงบลงแล้วเราจะเริ่มเห็นรากฐานของใจที่ตัวเงามันพาให้เกิดให้ตายคือ อวิชชา เราจะเริ่มเห็นเป็นลำดับลำดา
จิตใจมีความสว่างไสวขึ้นเท่าไรก็ยิ่งจะเห็น ทั้งตัวของเราทั้งเงาที่เป็นภัยต่อเราอีกเป็นลำดับ จนกระทั่งพิจารณาชำระซักฟอกหมดเงาของกิเลสได้แก่ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เรื่อยไปเลย
ทีนี้เมื่ออวิชชาดับภายในจิตใจแล้ว สังขาร วิญญาณ นาม รูป ดับหมด นี้แลเข้าถึงจิตที่ตัวตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ รู้ตัวนี้ แต่เวลาจิตได้เข้าถึงนี้แล้วเรียกว่า คำว่าตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญหมดปัญหาไปเลย เหลือแต่ธรรมธาตุล้วน ๆ ปรากฏอยู่ภายในจิตใจ นี่ไม่มีเกิดไม่มีตาย
ธรรมชาติที่เลิศเลอคือธรรมชาตินี้ ที่กิเลสมันต้มมันตุ๋น มันตีเสียแหลกว่าตายแล้วสูญ ๆ ไสสัตว์ให้ไปเกิดนรกอเวจี ที่ไหน ๆ เกิดหมดตายหมด ได้รับความทุกข์เพราะกิเลสหลอกด้วยกันทั้งนั้น
ทีนี้พอกิเลสตัวนี้ตายแล้ว เรื่องตายแล้วสูญมันก็ไม่มี เพราะมันไม่เคยมี กิเลสหาเรื่องเฉย ๆ มีแต่ตายแล้วเกิด เมื่อชำระตัวตายแล้วเกิดนี้ออกหมดแล้ว ถึงความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ทุกขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ไม่เกิดก็ไม่ตายอันเดียวกัน แล้วจะมีทุกข์มาจากไหน นี่พูดถึงเรื่องอะไรที่ถามปัญหานี่ลืมแล้วนะ อย่างนั้นนะ
โยม : บั้งไฟพญานาคครับ
หลวงตา : อย่าเอามายุ่งบั้งไฟพญานาคนั่น ให้พูดถึงนี้ ที่มันพันหัวใจเราอยู่เดี๋ยวนี้มันอะไร บั้งไฟพญานาคไม่ไปหาพัน เราไปพันมันต่างหาก
โยม : เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด
หลวงตา : เออ นี่ละ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ธรรมพิสูจน์อย่างนี้ แล้วจะเห็นตายแล้วไม่สูญ อมตะไม่ตายด้วย มีเท่านั้น มีอะไรอีกล่ะ
โยม : ตกลงว่ามีบั้งไฟพญานาคจริง หรือว่าคนไทยถูกคนลาวหลอก คือหนังสือพิมพ์และไอ ที วี เขาไปทำสกู๊ปข่าวว่า ที่ไปดูบั้งไฟกันเป็นแสน ๆ เป็น ๕-๖ ปีมานี้ ที่ทำเนี่ย
เขาว่าคนไทยนี้โง่ คือคล้าย ๆ กับคนไทยโง่เพราะฝั่งลาวไม่มีใครดูกัน เป็นทหารลาวเขายิงปืนส่องแสง ยิงปืนนำวิถีค่ะ ฉลองเทศกาลพญานาค แล้วคนไทยก็ฉลองเทศกาลออกพรรษา ไอ ที วี เขาทำข่าวว่า คนไทยที่ไปดูนั้นคล้าย ๆ กับเป็นคนโง่งมงายเจ้าค่ะ ทีนี้สังคมไทยก็ถกเถียงกันมาตั้งแต่งานบั้งไฟ จนบัดนี้หนังสือพิมพ์ยังเถียงกันอยู่
หลวงตา : เราจะตัดสินนะ ทางลาวว่าคนไทยเราโง่ใช่ไหม ที่ไปดูบั้งไฟนะ ถ้าคนลาวไม่ไปดู คนลาวโง่ที่สุดเลยเข้าใจไหม เอาตรงนี้เลย เอาตรงนี้ละซิ ทำไมเขาดูกันทั้งประเทศเมืองไทย ทำไมไม่ดูถ้าไม่โง่เกินไป ก็มีเท่านั้นแหละ
โยม เขาบอกว่าทหารลาวยิงปืนเจ้าค่ะ
หลวงตา: นี่หมัดหยอกเล่น เข้าใจไหม ไอ้เรื่องโง่มันโง่ด้วยกันทุกคน ฉลาดด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เข้าใจไหม แต่เรื่องบั้งไฟมันมีหมัดรับหมัดต่อย ก็ต่อยกันไปอย่างนั้น
ไม่พูดละเรื่องนี้ช่างมันเถอะ มันมีอยู่ทั่วไป ไปหาดูวับ ๆ แวม ๆ อยู่ตามริมแม่น้ำโขง ฟาดขึ้นฟ้าดูพระอาทิตย์ ถ้าไม่กลัวตาแตกดูทั้งวันก็ได้ มันยากอะไร ไปหาเกาในที่ไม่คัน อุ๊ย.ยังไงกัน
เอาจุดมันสำคัญ ๆ นี่ ที่เทศน์วันนี้เป็นคติเข้าใจไหม ตายแล้วเกิดตายแล้วสูญ พิสูจน์จิตดวงนี้ จ้าขึ้นมาแล้วคำว่าตายแล้วเกิดตายแล้วสูญหายทันทีเลย เหลือตั้งแต่ธรรมอันเลิศเลอ คือธรรมธาตุของจิตดวงนี้บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีคำว่าเกิดว่าตายเข้าไปแทรกเลย นั่น ธรรมตัดสิน ตัดสินอย่างนี้แหละ ก็มีเท่านั้นแหละ
_________________________________________
#หมายเหตุ : เรื่องอจินไตยนั้น ไม่ควรคิดตาม เพราะเป็นปัจจัตตัง รู้เห็นได้เฉพาะผู้ปฏิบัติถึงเท่านั้น ถ้าท่านบอกว่ามีจริง คนก็จะหลงไปเป็นจริงเป็นจังกับพญานาค ฝังจิตฝังใจชวนคนอื่นไปร่วมฝังจิตฝังใจ ก็จะไปยกเอาพญานาคเป็นสรณะ มันจะเสียมากกว่าได้ ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าบอกว่าไม่มีจริง ก็จะพากันไม่เชื่อเรื่องเกิดเรื่องตาย พาลว่าคำสอนในพระพุทธประวัติเรื่องเล่าต่างๆที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหกไปเสีย ไปหลงเชื่อว่า ตายแล้วสูญ กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ชี้ชัดไปฝั่งใดก็มีแต่เรื่องชี้โพรงให้กระรอกโง่จอมเซ่อ ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะคนที่ถามปัญหา ไม่ได้มีความต้องการจะหาทางหลุดพ้นกิเลส แต่ชอบฤทธิ์ชอบเดชเสียมากกว่า จะพาลเสียเวลปฏิบัติทั้งของตนเองและผู้อื่น ปล่อยให้มันกำกวมแล้วไปตีปริศนากันเอง ตามแต่สติปัญญาและจริตนิสัยวาสนาของแต่ละท่านที่มีต่างๆกัน หลวงตาท่านว่าอย่างนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น