0052 ทุกสิ่งเป็นธาตุ ปรุงกันจนเกิดจิต
ธาตุตามธรรมชาติ ปรุงแต่งกัน จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า จิต ฉะนั้นอะไรอะไรก็คือจิต ทุกอย่างรวมอยู่ที่จิตหรือคือจิต นี้ละเอียดหน่อย ต้องพูดกันหลายคำ จากอะไรๆ ก็คือจิต ก็มาถึงโพธิจิต คือจิตอันสูงสุด จากโพธิจิต ก็มาถึงนิพพาน เรื่องมันก็จบ
ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า จากธาตุตามธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ก็มาถึงเรื่องจิต จนอะไรๆ ก็ คือจิต มาถึงโพธิจิต จากอะไรๆ ก็คือจิต จนมาถึงโพธิจิต จากโพธิจิตก็ถึงนิพพาน จากธาตุถึงจิต จากจิตทุกชนิดมาถึงโพธิจิต จากโพธิจิตก็ถึงนิพพาน
ข้อแรก ที่ว่า อะไรๆ ก็สักว่าธาตุตามธรรมชาติ จะต้องเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุ ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ รูปธรรม นามธรรมก็ตาม ล้วนแต่เป็นสักแต่ว่าธาตุ แม้แต่แต่ฝุ่นเม็ดหนึ่งจนถึงพระนิพพานมันก็คือธาตุด้วยกันทั้งนั้นแหละ แม้แต่นิพพาน ก็คือนิพพานธาตุ ขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งไม่มีราคาอะไรเลย ก็เป็นเรื่องวัตถุธาตุ เป็นนามธาตุ เป็นสังขตธาตุ แล้วก็มีอสังขตธาตุ คือนิพพาน นี้คือคำที่จะต้องจำไว้เป็นหลักว่า มันไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุ ในหลักพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะจัดว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตนได้ เพราะว่ามันเป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
ที่เป็นหลักใหญ่ๆ ก็มีอยู่ ๖ ธาตุ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นฝ่ายรูปธาตุ ส่วนวิญญาณธาตุนี้เป็นฝ่ายนาม แล้วอากาศธาตุ คือธาตุแห่งความว่าง ซึ่งไม่ควรจะจัดเป็นรูปหรือเป็นนาม แต่เขาก็มักจะจัดกันเป็นนาม มันไม่ใช่เรื่องจิตที่จะมาจัดเป็นนาม ควรจะเรียกว่าธาตุที่มิใช่รูปมิใช่นาม คืออากาศธาตุ ที่ว่าง นี่เรียกว่าธาตุทั้ง ๖ ถ้าจะมีนิพพานธาตุมาสงเคราะห์ในกลุ่มนี้ ก็จะสงเคราะห์ในพวกอากาศธาตุ คือที่ว่างจากรูปและนาม แต่ก็ไม่มีการจัดหรือการกล่าวไว้ ไม่เคยพบ
ธาตุทั้ง ๖ มีอยู่ตามธรรมชาติ ประกอบกันเข้าเป็นนามและรูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นี้เป็นรูป แล้วก็ธาตุวิญญาณนี้ก็เป็นนาม อากาศธาตุเป็นที่ตั้งแห่งรูปและนาม มันจึงมีครบ คือธาตุทั้งหลายประกอบกันเข้าแล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่ารูปและนามเกิดขึ้นมา รูปคือฝ่ายร่างกาย นามคือฝ่ายจิตใจ แล้วมันก็มีฝ่ายจิตใจนั่นแหละ เป็นหลักใหญ่หรือเป็นประธาน ดิน น่ำ ลม ไฟ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของคนหรือของสัตว์ หรือเป็นต้นไม้ เป็นต้น แล้วมันมีธาตุที่มองไม่เห็นตัว เรียกว่า วิญญาณธาตุ ทำหน้าที่อยู่ในนั้น ตือรู้สึกได้ อย่างน้อยก็รู้สึกได้ หรือมีชีวิตได้ และที่ว่ามีที่ว่างเป็นที่ตั้งแห่งธาตุทั้งปวง นี้ก็ฟังยากสำหรับคนที่ไม่เคยศึกษา แต่จะพูดได้ง่ายๆ ว่า มันต้องมีที่ว่าง มันจึงมีอะไรๆเข้าไปตั้งอยู่ที่นั่นได้ เหมือนก้อนหินก้อนนี้ มันจะมาวางอยู่ตรงนี้ มันต้องมีที่ว่าง นี่เรียกว่า วัตถุมันก็ตั้งอยู่ที่ที่ว่างจากวัตถุ มันเป็นนามเป็นจิตมันต้องตั้งอยู่ที่ที่ว่างจากนามหรือจากจิต ต่างก็มีที่ว่าง ให้เป็นที่ตั้งของสิ่งทั้งปวง
อะไรๆ ก็เป็นเรื่องของจิต ที่เป็นประธานทั้งนั้นแหละ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา จนถึงระดับที่เรียกว่า โพธิจิต คือจิตที่เบิกบานแล้วถึงความรู้แจ้งเป็นโพธิแล้ว เจริญจนถึงกับว่ารู้จัก หรือเข้าถึงซึ่งนิพพาน ซึ่งเป็นธาตุอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน เรียกว่านิพพานธาตุ นิโรธธาตุก็เรียก จิตที่ลุถึงนิพพานธาตุ คือลุถึงธาตุชนิดที่ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่มีความทุกข์
ทั้งหมดนี้อาจเรียกว่าทั้งหมดแห่งเรื่อง หรือจักรวาลของธรรมะ มันมีเท่านี้ ธาตุตามธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นเป็นจิต จิตจะเจริญเรื่อยๆไป ได้อาศียร่างกายกับจิตนี้มันทิ้งกันไม่ได้ แต่ว่าส่วนใหญ่มันอยู่ที่จิต จิตมันเจริญเรื่อยๆ ไปจนถึงนิพพาน เรื่องก็จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น