วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

0072 การปรุงเป็นความทุกข์อยู่ในตัวเอง

0072 การปรุงเป็นความทุกข์อยู่ในตัวเอง

   เราจะมาดูที่การปรุง ซึ่งเป็นตัวปัญหาที่ทำให้เกิดความทุกข์ ถ้าไม่มีการปรุงก็ไม่มีการเกิด นี่พูดได้ว่า ถ้าไม่มีการปรุงก็ไม่มีการเกิด โดยทางวัตถุนี้ ถ้าไม่มีการปรุงก็ไม่มีเกิดสัตว์ คน สิ่งของอะไร ทางจิตใจถ้าไม่มีการปรุง ก็ไม่เกิดวิญญาณ ไม่เกิดสัตว์ คนอะไร ถ้าไม่มีการปรุงก็ไม่มีการเกิด

   เดี๋ยวนี้มัน มีสิ่งที่มีอำนาจการปรุง ถ้าทางวัตถุ ก็มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มีเหตุปัจจัยที่ปรุง ปรุงดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เป็นนั่นเป็นนี่มากมายเหลือประมาณ ทีนี้ทางภายใน ทางจิตใจ คือสิ่งที่รู้สึกได้ มันก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับจะรู้สึก ที่นั่นมีจิตสำหรับทำความรู้สึก มันก็มีอารมณ์สำหรับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมีการเสวยอารมณ์ เพราะมีอารมณ์ก็มีการเสวยอารมณ์ เพราะมีการเสวยอารมณ์มันก็เกิดเป็นผลขึ้นมา เช่น เป็นกิเลสโดยเฉพาะ เกิดกิเลสแล้วก็ทำให้ทำกรรม มีการกระทำไปตามอำนาจของกืเลส ก็เกิดผลกรรม เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดปรุงแต่งต่อไปอีก

   เพราะว่าอยากได้สุข ไม่อยากได้ทุกข์ ก็ทำกันต่อไปอีก เป็นกระแสแห่งการปรุง ผลปรากฏออกมาอย่างที่เห็นอยู่ ความสุข ความทุกข์ ของคนของสัตว์ หรือว่าตัวสัตว์ คน พืชนั่นเอง กระทั่งว่าเป็นโลกนี้ แล้วเป็นหลายๆโลก เป็นจักรวาลหรือหลายๆจักรวาลเป็นโลกธาตุ มันก็ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีการปรุง เนื้อแท้ตัวแท้ของมันก็คือการปรุง ไม่ใช่การหยุดนิ่ง เพียงแต่ละเอียดที่ตาเรามองไม่เห็น หรือเราไม่ฉลาด เราไม่มองเห็นว่า ทุกสิ่งนี้มันปรุงกันอยู่เรื่อยหรือมันไหลไปเรื่อยในกระแสแห่งการปรุง

   นี่สังขารเป็นอย่างนี้ สังขารคือการปรุง หยุดการปรุงเสียเมื่อไร ก็จะไม่มีความทุกข์ การปรุงนั้นเป็นความทุกข์อยู่ในตัวมันเอง

   การปรุงมันก็คือการเปลี่ยน มีแต่กระแสแห่งการเปลี่ยนไหลไป นี่เรียกว่าไม่มีอืสรภาพ ดังนั้นมันจึงเป็นความทุกข์อยู่ในการปรุง หรือการถูกปรุง จึงมีพระบาลีว่า สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา การปรุงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ท่านตรัสไว้อย่างนี้ ถ้าไม่มีการปรุง จะไม่มีความทุกข์เลย

   ทุกข์ในความหมายทั่วไป ก็คือ เจ็บปวด นี่คือความหมายแรก ความหมายที่สอง ก็คือ มองดูแล้วน่าเกลียด น่าชัง เป็นการหลอกลวงอยู่เรื่อย ความหมายที่สาม แปลว่า มันว่างอย่างน่าเกลียด คือมัน ว่างจากสิ่งที่ควรจะยึดถือว่าตัวตน มันไม่มีเลย มันไม่มีสาระที่ควรจะยึดถือว่าตัวตนเลย นี่เรียกว่าว่างอย่างน่าเกลียด

   สังขารทั้งหลายเป็นอย่างนี้ สังขารที่มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิดได้ก็มีความทุกข์ชนิดที่เจ็บปวด สังขารที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความรู้สึกได้ เช่น ก้อนหินอย่างนี้ มันก็มีลักษณะที่ดูแล้วน่าเกลียด สังขารมีชีวิต หรือสังขารไม่มีชีวิตก็ตาม มันว่างจากสาระที่ควรจะเรียกว่าตัวตน ไม่มีความหมายแห่งตัวตนด้วยกันทั้งนั้น จึงเรียกว่า ว่างอย่างน่าเกลียด

   ตัวตนนั้นจิตมันนึกเอาเอง มันสำคัญเอาเอง มันเข้าใจผิดเอง เพราะจิตมันยังประกอบด้วยอวิชชา จิตจึงหมายมั่นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวตน เป็นของตน แล้วจื
ตนี้ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะไปหมายมั่นอะไรว่าเป็นตัวตนเข้า อย่างน้อยก็ต้องยึดถือว่าเป็นตัวตน มันก็เหมือนกับแบกของหนัก ก็เป็นทุกข์ ยึดสิ่งใด ก็ตองทุกข์เพราะสิ่งนั้น เพราะว่าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามอำนาจของใครทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...