0044 ภาพผู้ดับไม่เหลือ
คำว่าดับไม่เหลือ เป็นคำที่เข้าใจยาก จะเรียกว่ายากที่สุดก็ได้ ในภาษาธรรมะด้วยกัน คำว่าดับไม่เหลือ ไม่ได้หมายความว่าตายแล้วเผาฝัง คำว่าดับไม่เหลือหมายถึง ดับไม่เหลือแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู ว่าตัวกูว่าของกูน่ะ เกิดขึ้นมาเมื่อไรมันก็มีตัวตนเมื่อนั้น มีความรู้สึกว่าตน แล้วก็มีตนเมื่อนั้น ถ้าว่าดับสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงเสีย ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าตัวตนว่าของตน นั่นแหละจึงจะเรียกว่า ดับไม่เหลือ
ในภาพนี้มีอะไรลุกขึ้นมาจากสะดือของบุคคลในภาพนั้นเวียนออกไปเป็นคนนานาชนิด นั่นแหละเป็น
การปรุงแต่งออกไปจากจิตใจ มีมากมาย เป็นความเกิดอันมากมาย อันไม่รู้จักสิ้นสุดตลอดเวลาที่ยังมีอวิชชา ทีนี้ก็มาถึงตอนที่จะเปลี่ยนฉากใหม่ ได้ผ่านโลกผ่านทุกข์ ความทุกข์มามากพอแล้ว เกิดความเข้าใจเห็นได้ว่า อย่างนั้นเป็นความโง่เขลา เป็นการปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของตน แล้วก็ขบกัดตนอย่างเหลือประมาณ จึงน้อมจิตไปในทางที่จะไม่ให้เกิดตัวตน หรือดับตัวตนเสีย ไปศึกษาเล่าเรียนเรื่องเกี่ยวกับการปรุงแต่งมาอย่างครบถ้วน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ถึงกันเข้าแล้วก็ปรุงแต่งเป็นเกิดเป็นตัวตน เกิดตัวกูของกูขึ้นมา ในความรู้สึก ถ้ามีสติปัญญาพอ แม้ถึงกันเข้ามันก็มีสติปัญญาพอที่จะควบคุมไม่ให้ปรุงแต่งเป็นตัวตนขึ้นมา นี้เรียกว่าดับตัวตน ป้องกันการเกิดแห่งตัวตน แล้วก็ดับไปแห่งตัวตน จนกระทั่งไม่มีเหลือ ความทุกข์ก็ไม่มี ความทุกข์เกิดมาจากความรู้สึกว่ามีตัวตนหรือของตนเสมอไป เป็นใจความสั้นๆว่า การยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สำคัญอยู่ที่เบญจขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พอยึดมั่นส่วนใดส่วนหนึ่งเข้ามันก็เกิดเป็นตัวตนขึ้นมา ไม่ยึดมั่นถือมั่นเลยโดยประการทั้งปวง ตลอดเวลาทั้งปวง มันก็ไม่เกิดตัวตนขึ้นมา เรียกว่า ดับไม่เหลือ เป็นการดับทุกข์ในทุกแง่ทุกมุมที่เราก็ไม่ต้องเรียนเรื่องทุกเรื่องอะไรให้มากเรื่อง จะเรียนเรื่องดับไม่เหลือ อย่างเดียวก็พอ แล้วก็พยายามให้ความรู้เรื่องดับไม่เหลือนี้เป็นเครื่องกำกับอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะดับจิตคือดับกายหรือตายนั่นน่ะ ให้มีความรู้เรื่องดับไม่เหลือเข้ามาเกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด จะได้ดับไปอย่างไม่มีเชื้อเหลือสำหรับจะเกิดอีก
ข้อความนี้พอสรุปเป็นคำกลอนดังนี้
อย่าเข้าใจ ไปว่า ต้องเรียนมาก
ต้องปฏิบัติ ลำบาก จึงพ้นได้
ถ้ารู้จริง สิ่งเดียว ก็ง่ายดาย
รู้ดับให้ ไม่มีเหลือ เชื่อก็ลอง
เมื่อเจ็บไข้ ความตาย จะมาถึง
อย่าพรั่นพรึง หวาดไหว ให้หม่นหมอง
ระวังให้ ดีดี นาทีทอง
คอยจดจ้อง ให้ตรงจุด หลุดได้ทัน
ถึงนาที สุดท้าย อย่าให้พลาด
ตั้งสติ ไม่ประมาท เพื่อดับขันธ์
ด้วยจิตว่าง ปล่อยวาง ทุกสิ่งอัน
สารพัน ไม่ยึดครอง เป็นของเรา
ตกกระได พลอยกระโจน ให้ดีดี
จะถึงที่ มุ่งหมาย ได้ง่ายเข้า
สมัครใจ ดับไม่เหลือ เมื่อไม่เอา
ก็ดับ เรา ดับตน ดลนิพพาน ฯ
สรุปความว่า ไม่ต้องเรียนให้มากเรื่อง นอกจากดับไม่เหลือ และเมื่อจะดับจิตดับขันธ์ดับกายนี้ให้มีความรู้เรื่องดับไม่เหลือเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เรียกว่าตดกระได แล้วก็กระโจนให้ดีๆ จะถึงที่หมายได้เร็วเข้า ถ้ามีความเจ็บไข้แน่นอนว่าจะต้องตาย อย่างนี้ก็เรียกว่ามันตกกระไดแล้ว ก็พลอยกระโจนให้ดีๆ สมัครดับไม่เหลือไปด้วยกัน นี่มันง่ายเข้า
หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน จะได้มีความเข้าใจให้ถูกต้องว่า เครื่องดับทุกข์นั้นน่ะคือความรู้เรื่องดับไม่เหลือแห่งตัวตน ความรู้เรื่องดับไม่เหลือแห่งตัวตนปฏิบัติแล้วมันไม่เกิดตัวตน ตัวตนที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มันก็เลยไม่มีความทุกข์ ขอให้พิจารณาดูให้ดี มีอะไรพลุ่ง ออกมาจากใจกลางแห่งบุคคลนั่น แล้วก็ถ้าว่าปฏิบัติถูกเรื่องดับไม่เหลือ มันก็จะหยุดออกมา มันก็จะหายไปหมด ไม่มีสำหรับเป็นปัญหาอีกต่อไปดังนี้ จ้องดูหน้าที่ของคนดับไม่เหลือให้ดีๆ ว่ามันมีความรู้สึกที่มีความหมายแห่งความสะอาด ความสว่าง ความสงบสักเท่าไร กระทำไว้ในใจสำหรับเป็นเครื่องจูงใจให้เดินไปโดยทำนองนั้นด้วยกันจงทุกๆคนเถิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น