0377 วิปัสสนากรรมฐาน (ต่อจากเมื่อวาน)
สำหรับหมวดธรรมที่เหลือจะทำอย่างไร
เมื่อขึ้นวิปัสสนาให้เริ่มเจริญอิทธิบาท ๔ ขณะที่กายโยกไปมาทางซ้ายขวานั้น ก็ให้ภาวนาอิทธิบาท ๔ ตามไปด้วย คือท่องในใจว่า ฉันทะ ความพอใจผลของการปฏิบัติ วิริยะ ความเพียรในธรรมที่ปฏิบัติอยู่ จิตตะ ความเอาใจใส่ในธรรมที่ปฏิบัติอยู่ วิมังสา การใช้จิตตรึกตรองในธรรมที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดละออ ท่องไปช้าๆ ๔ เที่ยว การท่องนอกจากจะเป็นการภาวนา หรือบริกรรมในธรรมหมวดนี้แล้ว ยังเป็นการตรวจสอบดูว่าธรรมในหมวดนี้เจริญขึ้นในจิตของเราแล้วหรือยัง กล่าวคือ เมื่อภาวนาไปสัก ๒ เที่ยวแล้วก็สำรวจว่าฉันทะหรือความพอใจ เรามีความพอใจต่อการปฏิบัติหรือไม่ วิริยะหรือความเพียร ได้เพียรปฏิบัติมากน้อยเพียงใด จิตตะหรือใจที่จดจ่อ เราจดจ่อต่อการปฏิบัติแค่ไหน วิมังสาหรือใคร่ครวญประมวลผล เราได้ไตร่ตรองใคร่ครวญในธรรมและผลของการปฏิบัติหรือไม่ การตรวจสอบธรรมเหล่านี้ไม่ต้องใช้เวลาตรวจสอบมาก เดี๋ยวจิตจะฟุ้งไปในความคิด
ในขณะที่เราภาวนาอยู่กับองค์ธรรมของอิทธิบาท ๔ คือท่องฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาอยู่นั้นสติต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แม้จะหลับตาแต่ก็เหมือนกับว่าสายตาของเราทอดไปในระยะปลายนิ้วของแขนที่เหยียดออก คือ คะเนว่าถ้าเหยียดแขนไปตรงๆ ปลายนิ้วสุดตรงที่ใด ก็ให้สายตาของเราพักอยู่ตรงหน้า ณ จุดนั้น ที่ต้องกำหนดจุดพักสายตาไว้ตรงนั้น ก็เพราะว่าขณะที่ภาวนาอยู่นั้นอาจจะมีนิมิตเป็นภาพเกิดขึ้นที่ตรงนั้น ภาพนิมิตที่เกิดขึ้นนี้อย่าไปนึกอยากให้มันเกิด แต่ถ้ามันเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดตามเหตุตามปัจจัยของมันและมันจะเป็นภาพอะไรก็แล้วแต่ขอให้เรามีหน้าที่รู้ว่ามีสิ่งใด แล้วก็ละเสีย อย่าไปชอบอย่าไปชัง เพราะถ้าชอบก็เป็นกิเลสฝ่ายราคะ (ความรักใคร่พอใจ) หรือ โลภะ (ความโลภอยากได้ของเขา) ถ้าไปชังก็เป็นกิเลสฝ่ายโทสะ (ความโกรธ) ถ้าเราไปหลงยึดติดก็จะเป็นกิเลสฝ่ายโมหะ (ความหลงไม่รู้) นอกจากนี้การหลงยึดติดในนิมิต ก็ยังเป็นวิปัสสนูปกิเลสอีกด้วย
(ต่อพรุ่งนี้ครับ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น