0068 ทุกสิ่งเป็นสังขาร ยกเว้นนิพพาน
ยกเว้นพระนิพพานอย่างเดียว แล้วก็ ไม่มีอะไรที่มิใช่สังขาร มีชีวิตก็ดี ไม่มีชีวิตก็ดี อยู่ภายในตัวเราก็ดี อยู่ภายนอกตัวเราก็ดี สิ่งที่เป็นเหตุก็ดี สิ่งที่เป็นผลก็ดี สิ่งที่เป็นกรรมก็ดี เป็นผลกรรมก็ดี จะไม่มียกเว้นเลย ล้วนเรียกว่าสังขารทั้งสิ้น
การกล่าวไว้ในที่ต่างๆ นั้นทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น คำในปฏิจจสมุปบาท มีถึง ๑๒ คำ มีคำว่าสังขารรวมอยู่ด้วยคำหนึ่ง คือคู่แรกว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป เป็นถึง ๑๒ อาการ แต่มี คำว่าสังขารอยู่คำเดียวใน ๑๒ อาการนั้น แต่โดยที่แท้แล้วทั้ง ๑๒ อาการนั้นก็เป็นสังขาร ปฏิจจสมุปบาททั้ง ๑๒ อาการนั้นก็เป็นสังขาร คือสิ่งปรุงและถูกปรุง สิ่งซึ่งเป็นผู้ปรุง ทั้ง ๑๒ อาการเป็นอย่างนั้น อวิชชาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี นามรูปก็ดี อายตนะก็ดี ผ้สสะก็ดี เวทนาก็ดี ตัณหาก็ดี อุปาทานก็ดี ภพก็ดี ชาติก็ดี ความทุกข์ทั้งปวงก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นสังขารทุกอย่างเลย แต่มีการเอ่ยถึงคำว่าสังขารเพียงคำเดียว คือคำที่สอง
คนที่เรียนไม่ดี หรือว่าไม่รู้ ก็จะคิดไปว่า สังขารมีแต่อย่างเดียวคือข้อที่ ๒ ที่จริงทั้งหมดนั้นเรียกว่าสังขาร แต่ท่านไปใช้คำว่าสังขารแก่อาการที่ ๒ คืออำนาจการปรุงแต่ง อวิชชาทำให้เกิดอำนาจการปรุงแต่ง คือสังขาร สังขารอำนาจการปรุงแต่งก็ทำให้วิญญาณทำหน้าที่เป็นจิต จิตก็ปรุงแต่งนามรูป เกิดนามรูป เกิดอายตนะ เกิดผ้สสะ เกิดเวทนา ไปตามลำดับ นร่ขอเตือนให้ทราบว่ามีคำว่าสังขารเพียงคำเดียว เรียกชื่อว่าสังขารเพียงคำเดียว ในหมู่สังขารคือ ๑๒ ชนิด
ทีนี้จะมาดูที่เบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีสังขารอยู่คำเดียว คือคำที่ ๔ แต่ว่าทั้ง ๕ ขันธ์นั้นเป็นสังขารทั้งนั้น รูปก็เป็นสังขาร คือการถูกปรุงแต่ง คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง เวทนา ก็คือ สังขารถูกปรุงแต่ง สัญญาเป็นสังขารถูกปรุงแต่ง สังขารก็คือสังขาร เป็นความคิด คิดปรุงแต่ง วิญญาณก็เป็นตัวสังขาร เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง นี่ขอให้เข้าใจว่าทั้ง ๕ ขันธ์นั่นแหละเป็นสังขาร แต่มีคำๆเดียวเรียกชื่อว่าสังขาร เป็นคำที่ ๔ อยู่ในขันธ์ ๕ อย่างนี้ก็ทำให้คนเข้าใจผิดได้แล้วว่า สังขารมีอยู่อย่างเดียวในขันธ์ทั้งห้า โดยไม่ได้เฉลียวว่า ทั้งห้านั้นมันก็เป็นสังขารเสมอกันหมด
ในสากลโลกนี้ มันก็มีแต่การปรุงแต่งอยู่เรื่อยไป แสงแดดปรุงอะไร น้ำปรุงอะไร ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ปรุงอะไร แล้วไม่ใช่ปรุงแล้วหยุด มันปรุงต่อๆๆๆกันไป ในลักษณะที่ว่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งกันและกัน นอกจากทำหน้าที่ปรุงแล้ว ยังถูกปรุงอีกด้วย มันปรุงให้เกิดขึ้นมา มันถูกปรุงให้เกิดขึ้นมา แล้วมันยังจะปรุงสิ่งอื่นต่อไป เป็นสายติดต่อกันไปยืดยาว เหลือที่จะกำหนดได้ ถ้ามีสติปัญญามองเห็นจะเห็นว่า สังขารเป็นอย่างนี้ การปรุงเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่การกระทำของมันนั้นมหาศาลเต็มไปทั้งจักรวาล เต็มไปทั้งโลกธาตุหมดทุกๆจักรวาลมีแต่การปรุง
มีสิ่งเดียวที่ตรงกันข้าม คือ การไม่ปรุง ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบายยากหน่อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น