0076 การปรุงมีได้เพราะอำนาจอวิชชา
การปรุงนี้มีได้เพราะอวิชชา ในระดับมนุษย์ คนเราที่มีการปรุงนั้น เพราะอำนาจอวิชชา เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมีรูป เสียงกลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ มาสัมผัสอยู่เสมอแล้ว แต่ มี อวิชชา มันไม่รู้ตามที่เป็นจริง พอรูปมากระทบตา เสียงมากระทบหู กลิ่นมากระทบจมูก เป็นต้น มันก็เกิดการปรุงด้วยอวิชชา คือปรุงไปในทางให้เกิดกิเลสตัณหาและเป็นทุกข์ นี่ การปรุงที่เป็นตัวปัญหาสำหรับมนุษย์จะเป็นทุกข์นั้น มันมีด้วยอำนาจอวิชชา
แล้วถ้าไม่ใช่ของคน เป็นของสัตว์ วัตถุ ก้อนหิน มันปรุงด้วยอะไร นี่มันก็ตอบยาก มันเป็นเรื่องของธรรมชาติอย่างนั้นเอง ซึ่งเรารู้ไม่ได้ เป็นอวิชชาของเราที่รู้ไม่ได้ ว่าทำไมธรรมชาติมันจึงมีหน้าที่ปรุง หรือปรุงโดยธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ หรือปรุงของธรรมชาติ ก็เพราะว่า ในธรรมชาตินั้น มันยังปราศจากอวิชชา มีแต่วิชชา
ในธรรมชาติ ตามธรรมชาติแล้วมันไม่วิชชา เพราะมันไม่ได้อบรม และก็ไม่อาจจะอบรมด้วย มันจึงเปลี่ยนแปลงเรื่อย ด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชาในลักษณะอย่างนี้ ควรจะแปลว่า สิ่งที่เราไม่รู้จักมัน ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มันปราศจากวิชชา ไม่มีวิชชาในสิ่งเหล่านั้น มันจึงเปลี่ยนเรื่อยด้วยการปรุง
ก้อนหินก้อนนี้เมื่อก่อนมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ที่เป็นภูเขาข้างบนนั้น แล้วมันค่อยๆมาอยู่ที่ตรงนี้ทีหลัง อะไรทำให้มาอยู่ที่นี่ ฝน ฟ้า อากาศ พายุ มันก็แยกตัวออกมา เป็นก้อนหินนี้ มาวางอยู่ที่นี่ แม้ธรรมชาติไม่มีชีวิตจิตใจ มันก็มีการผลักไสปรุงแต่ง อยู่ในตัวมันเอง ไม่เท่าไรก้อนหินก้อนนี้ ก็จะสลายออกไปเป็นกรวดทรายกระทั่งเป็นขี่ฝุ่นไปในที่สุด แล้วมันจะไปเป็นอะไรต่อไปข้างหน้าอีกเราก็ไม่ต้องรู้ต้องเรียนละ
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่มีชีวิต ก็มีเรื่อยไป คือการปรุงไปตามแบบของสิ่งมีชีวิต นี้การเปลี่ยนแปลงของ สิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่ถึงขนาดที่เป็นชีวิต มันก็มีเรื่อย ปรุงแต่งเรื่อยไปตามแบบของสิางที่ไม่มีชีวิต เราเรียกว่า ด้วยอำนาจของอวิชชา คืออำนาจของสิ่งที่ไม่มีวิชชา ไม่มีความรู้
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า มันไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ มาแต่ในท้อง คือมันมีอวิชชา มันไม่มีวิชชา ไม่รู้เรื่องเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ คือมันไม่รู้ว่า ถ้าไปปรุงเข้าแล้วมันจะเป็นทุกข์
เด็กที่อยู่ในท้อง ไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุติ แล้วมันก็ปรุงกันมาเรื่อย คลอดออกมาก็ยังปรุงเรื่อย เป็นเด็กทารก วัยรุ่น หนุ่มสาว แก่เฒ่าแล้วมันก็ยังปรุงอยู่เรื่อย เพราะมันขาดความรู้เรื่องเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตินั่นแหละ คือตัวอวิชชา มันจึงมีการปรุงแต่งเรื่อยแล้วมีความทุกข์อยู่ในการปรุงแต่งนั้นเอง
จิตที่ยังไม่บรรลุนิพพานเดี๋ยวนี้ มองไปทางไหน ก็ขอให้เห็นกระแสแห่งการปรุง มองไปที่ก้อนหิน ให้เห็นกระแสแห่งการปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไหลเรื่อย มองไปที่คนก็เห็นการปรุงแต่งเรื่อย ไหลเรื่อย มองไปที่สัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นการปรุงแต่งเรื่อย ไหลเรื่อย
เราไม่มี วิชชา ไม่มีปัญญา มากพอจะเห็นกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่เรามองเห็นเป็นความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ในความรู้สึก ๒ ประการ คือยินดี หรือยินร้าย สวยก็รัก ไม่สวยก็ไม่รัก ไพเราะก็รัก ไม่ไพเราะก็ไม่รัก หอมก็รักเหม็นก็ไม่รัก เป็นอยู่กันอย่างนี้ปรุงกันไปเรื่อย แตกแขนงออกไปเป็นโกรธ เกลียด กลัว วิตก กังวล อาลัย อาวรณ์ อิจฉา ริษยา หึงหวง มันเกิดที่จิตใจ แล้วที่สุดมันก็จบลงด้วยความวิปริตทางจิตใจ เป็นความทุกข์
ศาสดาทุกองค์ตรัสรู้ในป่า ในที่สงบ ซึ่งมันมีลักษณะแห่งการหยุดเย็น หรือหยุดปรุง การปรุงมันลดลง ไม่เหมือนอยู่ในบ้านในเมืองมันวุ่นวาย มันทุกข์ร้อนเพราะมันยึดมั่นถือมั่น มันปรุงแต่งมากเกินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น