0362 โลกนี้มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั้นเอง
บางครั้งที่หลวงปู่สังเกตเห็นว่า ผู้มาปฏิบัติยังลังเลใจเสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลกล้วนๆจนไม่อยากละมาปฏิบัติธรรม ๆ
ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า
“ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้วมันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยรู้เคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำๆซากๆอยู่แค่นั้น เกิดแก่เจ็บตายอยู่ร่ำไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละความสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย.”
สมัยสาม รู้หา สัตว์มาเลี้ยง
ตามใกล้เคียง เคหา ที่อาศัย
ไม่ต้องเร่ ร่อนหา ตามป่าไพร
ก็ยังได้ กินนอน ผ่อนรำคาญ
สมัยสี่ นี้ปัญญา นับว่าเหมาะ
รู้จำเพาะ พืชงาม ตามสถาน
เรียกสมัย เพาะปลูก ถูกเหตุการณ์
แต่ว่านาน กว่าจะเป็น ได้เช่นนี้
นับด้วยหมื่น หมื่นปี มีกำหนด
โง่ค่อยหมด หยาบค่อยบาง สำอางศร๊
รู้จักคิด ของแปลกๆ แผกวิธี
ทั้งกวี อักษรศาสตร์ เริ่มวาดทำ
รู้จักคิด กลไก เครื่องไฟฟ้า
มีตำรา ราชครู ดูก็ขำ
อันความรู้ นั้นหนอ ขอให้จำ
ว่าคนดำ ดาษดื่น เมื่อหมื่นปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น