วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

0064 ลักษณะของนิพพาน

0064 ลักษณะของนิพพาน

   นิพพานนั้น คือความว่างจากความทุกข์ ว่างจากกิเลส เมื่อไรเราว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์แม้ชั่วขณะหนึ่งก็เรียกว่า มีนิพพานชนิดชั่วขณะ ซึ่งมีได้ตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้ทำอะไรนักหนาก็ได้ คือบางเวลาหรือบางคราว เหตุปัจจัยสิ่งแวดล้อม กิเลสไม่เกิดกับเรา ความทุกข์ไม่เกิดขึ้นกับเรา จิตเราก็สงบเย็นตามธรรมชาติ มีได้ง่ายเมื่อไปนั่งไปอยู่ในที่ที่มันไม่มีสิ่งยั่วยุกิเลส หรือว่าแม้ตามธรรมดา จิตมันก็ต้องการจะหยุดจะพักของมันได้ มันขี้เกียจไปรับอารมณ์มันก็หยุดได้เหมือนกัน เมื่อกิเลสไม่เกิด ความทุกข์ไม่เกิด เรียกว่านิพพานชั่งขณะตามธรรมชาติ ซึ่งเราก็มีอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วก็บ่อยๆ

   วันคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงนี้ เรามีจิตร้อนด้วยกิเลสกี่ชั่วโมง แล้วก็เย็นว่างจากกิเลสกี่ชั่วโมง แล้วก็ ชอบสิ่งนี้คือว่างจากกิเลส แม้ชั่วคราวนี้ให้มากๆ จะได้รู้จักชิมรสของกิเลส และความไม่มีกิเลส เปรียบเทียบกันดู เวลาที่มีกิเลสร้อนเหมือนกับตกนรก ก็ลองชิมดู เวลาที่ได้ของอร่อยๆเหมือนกับสวรรค์ก็ลองชิมดู เวลาที่มันไม่มีกืเลส ไม่มีสิ่งรบกวนเลยก็ลองชิมดู มันจะรู้เปรียบเทียบระหว่างมีกิเลสกับไม่มีกิเลส ชีวิตที่เยือกเย็นในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เยือกเย็นอยู่ในโลกนี้ สังเกตศึกษาให้มากจะออกมา จัดไว้เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี หรือวัฒนธรรมก็ได้ครอบครัวนี้แต่ละคนมีความเยือกเย็น เพราะเขาอยู่กันอย่างชนิดที่กิเลสเกิดยาก กิเลสไม่ค่อยรบกวน มันเป็นชีวิตที่เยือกเย็น นั่นแหละคือนิพพานตามธรรมชาติ นิพพานชั่วคราวตามธรรมชาติ

   ทีนี้ถ้าว่า ปฏิบัติ คือศีล สมาธิ ปัญญา อบรมจิตจนถึงนิพพานสมบรูณ์ คือสิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ สิ้นอนุสัย มันไม่กลับมีกิเลสอีกได้ นี่เป็นนิพพานแท้ นิพพานขั้นสมบรูณ์แบบ อันนี้ไม่อยู่ในรูปของวัฒนธรรมหรือประเพณี มันไปอยู่ในรูปของธรรมะในขั้นสูงสุด บรรลุแล้วก็เป็นพระอรหันต์ไปเลย นี่นิพพานความที่ไม่ปรุงแต่ง ภาวะที่ไม่ปรุงแต่ง ลักษณะที่ไม่ปรุงแต่งของกิเลสและไม่เกิดความทุกข์ เป็นนิพพานสมบรูณ์

   จะเป็นนิพพานชนิดไหน ก็เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ นิพพานชั่วคราวเรียกว่า สามายิกนิพพาน นี้ก็เป็นธาตุ ตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง นิพพานแท้จริงเป็น สอุปาทิเสสนิพพาน หรืออนุปาทิเสสนิพพาน ก็ตาม มันก็เป็นธาตุ ตามธรรมชาติอยู่นั่นเอง แม้แต่นิพพานก็เป็นธาตุ สักว่าธาตุตามธรรมชาติ เอามาเป็นตัวตนไม่ได้ นี่โพธิพฤกษ์ของเรานี้ มันอบรมกันไปจนถึงบรรลุนิพพานโพธิพฤกษานั้น พอกพูน เจริญเลี้ยงรักษา เจริญงอกงาม จะแตกใบ ออกดอก ออกผล เป็นนิพพาน

   ความทุกข์หรือปัญหานี้ มันไม่ใช่มีแต่สำหรับคนคนเดียว มันมีความทุกข์หรือมีปัญหาของสังคมด้วย เราอยู่โดยไม่มีสังคมมันอยู่ไม่ได้ เพราะว่าธรรมชาติมันจัดให้มาอย่างนั้น เราจะมาขืนอยู่คนเดียว ไม่มีใครนี้ มันทำไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีสังคม และอยู่กันเป็นสังคม

   หน้าที่ที่จะต้องประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์แก่สังคม มันก็ยังเหลืออยู่ ดังนั้นเราก็จะต้องปลูกต้นไม้ต้นสุดท้าย คือ เมตเตยยพฤกษา ทุกศาสนามีคำว่า พระศรีอาริยเมตไตรย แม้จะเป็นคำในภาษาอื่น ก็มีความหมายเหมือนกับ ศรีอาริยเมตไตรย คือยิ่งด้วยเมตตา นี้เรายังจะต้องปลูกต้นไม้ต้นนี้ เพื่อแก้ปัญหาให้มันหมดสิ้น ปัญหาหมดส่วนเราคนเดียว มันก็ยังมีปัญหาของสังคมเข้ามารบกวน จะตัดปัญหาให้หมด ก็ต้องตัดปัญหาทางสังคมให้หมดออกไปด้วย จึงต้องปลูกต้นไม้อีกต้นหนึางเรียกว่า เมตเตยยพฤกษา เมตเตยยะ แปลว่า เกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร เกื่อกูลแก่มิตรภาพ เพื่อประโยชน์แก่มิตรภาพ เรียกว่า เมตเตยยะ ปลูกต้นไม้เพื่อเกื้อกูลแก่มิตรภาพในสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...