วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วิปัสสนากรรมฐาน 0385

0385   วิปัสสนากรรมฐาน  (ต่อจากเมื่อวาน)

    สติ คือความระลึกรู้หรือรู้ตัวจะมีกำลังสูงขึ้น  รู้ตัวเร็วขึ้นในปรากฎการณืที่เกิดขึ้นกับกายและจิต   สติจะแคล่วคล่องว่องไวรับรู้ผัสสะที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นทวารใดทวารหนึ่ง   เช่น ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบโผฏฐัพพะหรือสิ่งที่สัมผัสกาย   ใจกระทบธรรมารมณ์ หรืออารมณ์ที่จิตคิด สติก็จะรู้ได้เร็ว กำลังของสติจะคอยอุปการะจิต ให้จิตมีความแหลมคมและมีกำลังที่จะ รู้ และ ละ ต่อสิ่งนั้น   (ซึ่งคือตัววิปัสสนาปัญญา) โดยไม่ปรุงแต่งในทางที่ชอบที่ชัง จิตจะคลายจากกามคุณ ๕ อันมีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เท่ากับว่าจิตละจากอุปาทานในกามคุณ ๕ นั่นเอง   เมื่อสติมีกำลังเช่นนี้ปัญญาก็เกิดตามมา เป็นปัญญาที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ หรือมรรคผลนิพพาน

   สมาธิ   ได้แก่ ความตั้งมั่นของจิต   ขณะทำวิปัสสนาต้องควรตรวจดูว่า  สมาธิของเราหนักไปอยู่ในฌาน ๔ หรือน้อยไปอยู่ในฌาน ๒ วิธีตรวจสอบก็โดยการสังเกตนิมิต   โดยดูว่านิมิตที่เราเห็นเอียงไปทางซ้าย หรือเอียงไปทางขวา หรืออยู่ตรงกลาง ถ้าเอียงไปทางขวา   แสดงว่าสมาธิหนักไปใกล้ฌาน ๔ ถ้าเอียงทางซ้าย แสดงว่าสมาธิอ่อนไปอยู่ใกล้ฌาน ๒ แต่ถ้าอยู่ตรงกลางหน้าก็แสดงว่าเราใช้สมาธิกำลังพอเหมาะ   การปรับสมาธิให้อยู่ในภาวะสมดุลทำได้โดยการปรับแต่งการโยกของกาย ถ้าสมาธิมากไปเฉียดอยู่ในฌาน ๔ กายจะโยกช้าหรือโยกเบาแทบจะหยุด ก็ให้โยกแรงขึ้นอีกหน่อย   แต่ถ้าสมาธิอ่อนไปเฉียดฌาน ๒ กายจะโยกเร็วแรง ก็ให้โยกช้าลงเบาลง สมาธิก็จะอยู่ในภาวะที่เหมาะสม ดังนั้นวิธีโยกกายจึงเป็นประโยชน์ในการปรับระดับสมาธิอีกทางหนึ่งด้วย   การปรับระดับสมาธิดังกล่าวไม่มีอยู่ในพระอภิธรรม ที่รู้ได้ก็จากประสบการณืในการปฏิบัติ ซึ่งกว่าจะพบอาจารย์ก็เสียเวลาไป ๔ – ๕ วัน เพราะไม่มีใครบอกใครสอนมาก่อน

(ต่อพรุ่งนี้ครับ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...