0371 วิปัสสนากรรมฐาน (ต่อจากเมื่อวาน)
อิทธิบาท ๔ และพละ ๕
ในปฏิบัติที่เข้าถึงฌาน ๔ ก็ต้องถอยสมาธิจากฌาน ๔ ลงมาเล็กน้อย เพราะสมาธิในฌาน ๔ จิตจะสงบนิ่งอยู่ท่าเดียวไม่ยอมคิดถึงเรื่องอะไร จึงต้องผ่อนสมาธิลงมาให้อยู่ระหว่างฌาน ๔ กับฌาน ๓ ที่ต้องถอยมาอยู่ระดับนี้แม้ในตำราหรือพระปริยัติธรรมจะไม่ได้บัญญัติไว้ แต่จากคำสอนของครูบาอาจารย์และจากการทดลองปฏิบัติด้วยตัวเอง เห็นว่าได้ผลดีจึงถือว่าใช้ในการปฏิบัติได้ เพราะการปฏิบัติเป็นสิ่งละเอียดอ่อน ผู้มีประสบการณ์แล้วจึงจะรู้ว่าใช้ได้หรือไม่ได้ เมื่อเห็นว่าใช้ได้โดยวัดผลจากการปฏิบัติก็ถือว่าเป็นหลักในการปฏิบัติได้
การถอยสมาธิจากฌาน ๔ ลงมาอยู่ระหว่างฌาน ๓ ครึ่ง ไม่ได้มีเคื่องมือไปวัด แต่กะเอาประมาณเอา เพราะเรื่องของจิตเป็นนามธรรมเอาอะไรไปวัดไม่ได้ เมื่อถอยแล้วก็เลี้ยวไปทางซ้าย คือให้โยกตัวไปทางซ้ายเล็กน้อย จากนั้นด้วยกำลังของสมาธิก็จะทำให้ตัวโยกกลับไปทางขวาแล้วโยกซ้ายขวาไปมา การที่ต้องโยกตัวไปมาเช่นนี้ก็ไม่มีบอกไว้ในพระปริยัติธรรมหรืออภิธรรมเช่นกัน แต่เป็นผลที่ได้จากประสบการณ์ในการปฏิบัติ ซึ่งปฏิบัติแล้วได้ผลดี การที่พระอภิธรรมไม่ได้บัญญัติให้ทำเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความลังเลสงสัยว่าเป็นวิธีที่ถูกทางหรือไม่ ปฏิบัติแล้วจะนำไปสู่มรรคผลหรือไม่
เรื่องนี้ขอให้พิเคราะห์ดูว่าในขณะปฏิบัติวิปัสสนานั้น สมาธิของผู้ปฏิบัติจะอยู่ระหว่างฌาน ๒ กับฌาน ๔ สมาธิของฌาน ๒ มีปิติหล่อเลี้ยง ซึ่งเราได้ทำอุพเพงคาปิติมาแล้ว จนเกิดกายโยกไปมาหรือผรณาปิติรู้สึกขนลุกซู่ซ่ามีอาการซาบซ่านไปตามตัว หรือเกิดโอกกันติกาปิติ สมาธิของฌาน ๒ มีกำลังมาก จะดึงลงมาให้ตัวสั่นตัวโคลง ขณะเดียวกันสมาธิของฌาน ๔ ก็จะดึงขึ้นไปให้อยู่ในอุเบกขา การดึงกันระหว่างกำลังสมาธิในฌาน ๔ และฌาน ๒ บางครั้งก็ทำให้ผู้ปฏิบัติโยกเองได้โดยไม่ต้องสั่นให้โยกเมื่อทำวิปัสสนา
(ต่อพรุ่งนี้ครับ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น