0054 ตัวตนไม่มี แต่จิตโง่ยึดถือเป็นตน
ไม่มีตัวตนที่ตรงไหน กายก็ไม่ใช่ตัวตน จิตก็ไม่ใช่ตัวตน แม้แต่นิพพานก็ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุไร ? ก็เพราะว่ามันเป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ จิตมันไม่ใช่ตัวตน แต่มันมีความโง่คิดเอาเอง ว่าเป็นตัวตน คือมันเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ แต่แล้วมันได้รับธาตุโง่ ธาตุอวิชชา อวิชชาธาตุเข้าไปปรุงแต่งจิต จิตจึงเกิดความคิดเป็นตัวตน ยึดถือเอาว่าเป็นตัวตน เอานั่นเอานี่เป็นตัวตน เอาตัวมันเองเป็นตัวตน แล้วแต่โอกาส แต่ว่ามันเนื่องด้วยจิต ทั้งนั้นแหละ ที่มันจะเอามายึดเป็นตัวตนได้ พอจิตมันโง่ขนาดนั้น มียึดถืออะไรเป็นตัวตน มันก็ยึดถือ คือ จับฉวยขึ้นมายึดถือ เมื่อจับฉวย ขึ้นมายึดถือไว้ มันก็หนัก นั่นแหละคือ ความทุกข์
ความทุกข์ทั้งปวง มันเกิดมาจากความยึดถือ ความยึดถือด้วยจิต ไม่ได้หมายถึงว่ายึดถือด้วยมือ ถ้าเป็นเรื่องร่างกายมันก็ยึดถือด้วยมือ เป็นเรื่องของจิตมันก็ยึดถือด้วยจิต คือสำคัญมั่นหมายว่าตัวตน สำคัญมั่นหมายว่าของตน นี้คือจิตโง่ที่ประกอบไปด้วยอวิชชาธาตุ ธาตุจิตมาประกอบด้วยอวิชชาธาตุ ไม่รู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ก็ยึดถือตามธรรมชาติ
ตอนนี้ก็พอจะมองเห็นได้ง่ายๆ เช่นว่า พอจิตมันได้สิ่งที่ต้องการมากิน กินของอร่อยอยู่ จิตได้รับอร่อยจากของที่กินอยู่ มันก็ปรุงความคิดต่อไปว่า กูอร่อย คือมีตัวตนสำหรับเป็นผู้อร่อย แล้วถือเอาความอร่อยว่าเป็นความอร่อยของกู ที่จริงมันเป็นจิตล้วนๆ มันไม่ใช่ตัวตนอะไร แต่มันมีความโง่ คืออวิชชามาก พอมัน ได้เห็น สวยๆ หรือได้ฟังเพราะๆ ได้กลิ่นหอมๆ หรือได้กินอร่อย หรือได้สัมผัสที่นิ่มนวลสบายที่สุด หรือได้ความคิดที่สบายที่สุด มันได้ความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้นนี้ ความคิดของจิตก็งอกออกมาเอง เกิดออกมาเอง ว่ากูอร่อย นี่ความอร่อยต้องมาก่อน จิตนั้น สัมผัส ความอร่อยแล้ว มันก็ปรุงแต่งความคิด ขึ้นมา ว่ากูอร่อย นี่ตัวกูเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้เอง ก่อนนี้ไม่เคยมีตัวกู เดี๋ยวนี้จิตมันคิดโง่ๆขึ้นมา ยึดถือโง่ๆขึ้นมาว่าตัวกู
นี่คือหัวใจของเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้แหละ ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์เพราะเหตุไร ถ้ารู้มันก็เข้าใจได้ว่า เป็นทุกข์เพราะจิตมันโง่ ไปยึดถือเอาอะไรว่าเป็นตัวตนขึ้นมา มันก็จะยึดถือตัวเองนั่นแหละก่อน ว่าเป็นผู้อร่อย คือเป็นตัวกูผู้อร่อย แล้วก็ ยึดถือเอาความอร่อยนั้นเป็นของกู
บางทีจิตนั้นมันมีเหตุการณ์ที่เนื่องกันอยู่กับรูป เช่นรูป เป็นตัวกระทำเหตุการณ์ ไปกระทบไปกระทั่ง มันก็ จะเอาตัวร่างกายที่กระทบกระทั่งนั้น ว่าเป็นตัวกู เอาสิ่งที่มากระทบว่าของกู
บางทีจิตมันรู้เวทนา เวทนาสุขหรือทุกข์ มีเวทนาอยู่ มันก็ เอาจิตที่รู้สึกเวทนาหรือเอาตัวเวทนา นั้นแหละ ว่า เป็นตัวกู จิตที่รู้สึกเวทนา มันยึดตัวเองว่าเป็นตัวกู เพราะมันมีเวทนาให้รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ รู้สึกว่า เวทนานี้ก็ของกู
บางทีจิตมันสำคัญมั่นหมายสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ด้วยสัญญา แล้วเอาความมั่นหมาย หรือสิ่งที่มั่นหมายคือจิตนั่นแหละว่า เป็นตัวกู สำคัญอย่างไรก็เป็นสัญญาของกู
บางทีก็มีความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า สังขาร มีสัญญาอย่างไรแล้วก็คิดไปตามเรื่องที่เหมาะสมกับสัญญนั้นๆ มันก็เกิดความคิดขึ้นในจิต จิตก็ ยึดถือเอาตัวความคิด หรือจิตที่กำลังคิดว่าเป็นตัวกู
แล้วก็เป็นความคิดของกู
บางทีบางกรณีจิตมันก็เอาวิญญาณ คือที่รู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาวิญญาณที่กำลังรู้แจ้งเป็นตัวกู ซึ่งเป็น สัสสตะทิฏฐิ ที่ยึดเอาวิญญาณเป็นตัวตน ในลัทธิอื่นไม่ใช่พุทธศาสนา
สิ่งเหล่านี้เป็นความโง่ของจิต ที่แท้มันเป็นเรื่องการปรุงแต่งทางจิต ด้วยธาตุต่างๆกัน จับกลุ่มเข้าด้วยกัน แล้วก็ทำงานตามหน้าที่ที่ได้ แต่ตัวประธานของมันคือ จิต ซึ่งจิตนั้นมันยังโง่ได้ เอาอวิชชาธาตุเข้ามาปรุง จนเป็นตัวตนขึ้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น