0058 ผลที่จิตปรุงมี ๔ ลักษณะ
ถ้าจะมาดูที่ ผลที่เกิดขึ้น เป็นบุญเป็นบาป เป็นอะไรเหล่านี้ มันก็เป็นเรื่องของจิต ในลัษณะอย่างนี้ เรียกว่าบาปเพราะมันผิด คือมันไม่ถูกและเป็นทุกข์ ถ้าเป็นเรื่องอย่างนี้ก็เรียกว่าบุญ เพราะมันไม่ได้เป็นทุกข์ มันรู้สึกเป็นสุข หรือว่าแม้แต่ว่า ไม่หวั่นไหว ไม่จัดเป็นบาปเป็นบุญ เขา เรียกว่า อเนญชา อย่างนี้มันก็ยังเป็นเรื่องของจิต หรือว่ามันอยู่เหนือโลก มันขึ้นพ้นอำนาจของสิ่งเหล่านี้เรียกว่า เหนือโลก มันก็ยังคือจิต ฉะนั้นจึงมีคำเรียกจิตนี้ต่างๆกัน เป็น กามาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกุตรจิต มันไม่มีอะไรที่มิใช่จิต
ทีนี้อยากจะให้สังเกตุตามลำดับกันอีกแนวหนึ่ง เพื่อให้รู้ทีเดียวหมด ทั้งหมด จะมีคำสัก ๔ คำ คอยจำให้ดีว่า ๔ คำคือ คำว่า บาป คำหนึ่ง คำว่า บุญ คำหนึ่ง คำว่า อเนญชา คำหนึ่ง คำว่า โลกุตร อีกคำหนึ่ง คำว่าบาปคือจิต ที่ต้องใช้ คำว่า ที่มัน เลว ที่มันผิด ที่มัน เป็นทุกข์ หรือมัน เป็นชั่ว นี้เรียกว่าบาป บุญถูกความต้องการในโลก อย่างโลกๆ เป็นสุขอย่างโลกๆ
เป็นสุขของคนโง่ที่มีกิเลสก็เรียกว่าบุญ
ถ้ามันสลัดความหมายของคำว่าบาปว่าบุญออกไปอยู่คล้ายๆ กับว่า ไม่มีบุญไม่มีบาป เขาเรียกว่า อเนญชา แปลว่า ไม่หวั่นไหวตามความหมายของคำว่าบาปว่าบุญ โดยเฉพาะเจาะจง ก็หมายถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ จะเป็นอเนชาอย่างยิ่ง หรืออรูปฌานทั้งหมดเป็นอเนญชาอย่างยิ่ง บางอาจารย์ขยายความต่ำลงมาถึงจตุตถฌานว่าเป็นอเนญชาด้วยเหมือนกัน
ถ้าบาปมันเผ็ด ถ้าบุญมันหวาน แล้วแต่จะใชัคำไหน ถ้าว่า บาปมันขม ถ้าบุญมันหวาน แต่ถ้ามันไม่บาปไม่บุญไม่ขมไม่หวาน นั่นแหละมันจะมีความหมายแห่งอเนญชา เป็นจิตที่เป็นสมาธิ ไม่สนใจกับบุญกับบาป พวกนี้เป็น อเนญชา แต่มันยังมีความรู้สึก ในเวทนาในสัญญาในอะไรอยู่ ที่มันสูงขึ้นไปจากนั้นอีกก็เป็นโลกุตระ ขึ้นเหนือโลกเหนือความหมายแห่งโลก เหนือคุณค่าของ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เรียกว่า โลกุตระ ไม่มีการปรุงแต่งเลย แล้วก็เรียกเป็นโลกุตระ รู้จักสิ่ง ๔ สิ่งนี้ คือรู้จักทั้งหมดไม่ยกเว้นอะไร ผู้ใดรู้จักสิ่งทั้ง ๔ สิ่งนี้ ผู้นั้นก็จะรู้จักหมดทุกสิ่งไม่มีอะไรเหลือ สรุป ๔ สิ่งนี้คือ บาป บุญ อเนญชา โลกุตระ นี้เป็นภาษาธรรมะ
ทีนี้มาดูโดยภาษาคน ก็จะมีสัก ๔ ชนิด ๔ ระดับ เหมือนกัน คือ นรก นรกเลวมาก ต่ำมาก แล้วก็สูงขึ้นมาอีกชั้นหนี่งก็คือ มนุษย์ มนุษย์นี้มันดีกว่านรก สูงขึ้นไปกว่ามนุษย์ ก็คือ เทวดา-เทพ กระทั่งชั้นพรหม ก็คือเทพ ทีนี้สูงขึ้นไปอีกก็คือ นิพพาน
นี้ถ้าพูดให้เป็นสมมุติ เหมือนกับว่าเป็นวัตถุเป็นโลกเป็นอะไรขึ้นมา โลกนรกต่ำสุด สูงขึ้นมาเป็นโลกมนุษย์ คือผิวดินนี้ สูงขึ้นมาอีกก็เป็นเทวดา เทวดา ทั้ง๖ ชั้นก็ดี รูปพรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดี พ้นพรหมโลกก็มีแต่ นิพพาน
ถ้านรกคือใต้ดิน บาป ผิวดินก็คือมนุษย์ เทวดาชั้นต่ำๆ พวกที่ยังอยู่ในกามารมณ์ แม้จะเป็นเทวดา ก็เรียกว่า พวกบุญเหมือนกัน ถ้ามันเก่งกว่านั้นมันเป็น พวก อเนญชา แต่ก็เรียกว่าเทวดาเหมือนกัน สูงจากนั้นเป็นนิพพาน
พวกใต้ดินคือนรก พวกผิวดินคือมนุษย์ พวกบนฟ้าคือพวกเทวดา อวกาศนอกออกไปจากอากาศนี้เป็นสุญญกาศเป็นอวกาศนั่นนะคือ นิพพาน นี่เป็นการเปรียบเทียบให้เห็น ไม่ใช่ว่าเป็นตัวจริง ทั้งหมดนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากจิต ที่มันอยู่ในลักษณะต่างๆกัน
บาป บุญ อเนญชา เรื่องของมนุษย์และเทวดา อย่างนี้เรียกว่ามันเป็น สังขตธาตุ คือธาตุที่มีการปรุงแต่งได้ ส่วน นิพพาน มันเป็นอสังขตธาตุ คือธาตุที่ปรุงแต่งไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น