0050 ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น
ที่ว่า ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น คือ ไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น คำว่า เอา นี่เอาด้วยความโง่ ด้วยอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นว่ากูเอา แล้วกูได้มาเป็นของกู อย่างนี้เรียกว่าเอา ถ้าเอาอย่างนี้แล้วไม่มีอะไรนี่น่าเอาหรอก เอาแล้วดกัด กัดทั้งนั้นแหละ ไปเอาเข้าแล้วกัดทั้งนั้นแหละ เป็น ก็เหมือนกัน ด้วยความหมายมั่นอุปาทานว่ากูเป็นกูเป็นอย่างนั้น กูเป็นอย่างนี้ ก็เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นอะไร เป็นด้วยอุปาทาน นี้มันกัดเอาทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นก็ไปตามรู้สึกว่ามันสมมุติ มันชั่วคราว มันทำหน้าที่ชั่วคราว อย่าหมายมั่นให้มันมากมายไปกว่านั้น มีคำกลอนเขียนไว้ว่า
ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข
อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน
มันจะสุม เผากบาล ท่านทั้งวัน
ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา
เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู
มันจะดู วุ่นวาย คล้ายคนบ้า
อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา
มันคึกว่า กู-ของกู อยู่ร่ำไป
จะหามา จะมีไว้ ใช้หรือกิน
ตามระบิล อย่างอิ่มหนำ ก็ทำได้
โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ
ผูกยึดไว้ ว่าตัวกู หรือของกู
ถ้าจะมีอะไร จะหาอะไร จะเก็บอะไร จะใช้อะไร ในจิตใจอย่าหมายมั่นว่าเป็น ตัวกู เพราะมันจะรู้สึกหนักขึ้นมาในจิตใจ แล้วมันจะมีความไม่ได้ตามต้องการแทรกแซงอยู่เสมอ มันจะเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา จึงว่า ถ้าจะอยู่กันในโลกนี้อย่างมีความสุขแล้ว อย่าไปเอาอะไรมายึดถือว่าเป็นของฉัน มันจะสุมเผากบาลท่านทั้งวัน พูดกันลืม พูดให้มันแรงๆ ให้มันกันลืมว่า ถ้าเอามาเป็นของฉัน ของกูแล้วมันก็จะสุมกบาลให้ร้อน เหมือนกับเอาหม้อไฟมาทูนไว้บนศีรษะทั่งวันเลย ปล่อยให้มันเป็นของธรรมชาติ ไปตามเหตุตามปัจจัย ตามอิทัปปัจจยตา ตามปฏิจจสมุปบาท
ถ้าเอามาไว้ในอำนาจแห่งตัวกู มันก็ต้องต่อสู้กัน เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจนี่ มันก็ต้องต่อสู้กันเอะอะตึงตังเหมือนกับบ้านเรือนของคนบ้า มีแต่ความทะลึ่งตึงตัง ทะเลาะวิวาท หรือจะโง่เป็นนกเขานกเขานี่เป็นนกที่ขันว่า กู-ของกู ๆ ๆ ภาษาบาลีก็เรียกนกเขาว่า กูของกู ๆ เหมือนกัน มัยหกะ ๆ พูดเป็นภาษาบาลีไว้ ในบาลีว่า มัยหกะ นกเขามันขันว่า มัยหกะ แปลว่ากูของกู ฯ
เพราะฉะนั้นคนที่จะไม่เป็นนกเขาก็อย่าไปหมายมั่นอะไรว่าเป็นของกู จะหามาก็หามาอย่างธรรมช่ติอย่างนั้น เก็บไว้อย่างธรรมชาติ กินก็กินอย่างธรรมชาติ ถ่ายก็ถ่ายไปอย่างธรรมชาตินั้น อย่าให้มีความหมายในสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ว่าเป็น ของกู ขึ้นมาเลย
ทีนี้อีกบทหนึ่งว่า มีโดยไม่ต้องมีผู้มี ให้มีการมีตามกฏหมาย เรามีบ้านมีเรียน มีเงินมีทอง ตามกฏหมาย มีได้โดยสมมุตินั่นมี แต่ว่าโดยไม่ต้องมีผู้มี คือจิตใจอย่าไปมีเข้า ถ้ามีแล้วมันจะกัดเอา
ถ้ามีอะไร แล้วใจ รู้สึกเหนื่อย
สำนึกเรื่อย ว่ากูมี อย่างนี้หนา
มีทั้งกู ทั้งของกู อยู่อัตรา
นั่นอัตตา มาผุดขึ้น ในการมี
ถ้ามีอะไร มีไป ตามสมมุตติ
ไม่จับยุด ว่าของกู รู้วิถี
แห่งจิตใจ ไม่วิปริต ผิดวิธี
มีอย่างนี้ ย่อมไม่เกิด ตัวอัตตา
ฉะนั้นมีอะไร อย่าให้มี อัตตาเกิด
เพราะสติ อันประเสริฐ คอยกันท่า
สมบรูณ์ด้วย สัมปชัญญ์ และปัญญา
นี้เรียกว่า รู้จักมี ที่เก่งเกิน
เป็นศิลปะ แห่งการมี ที่ชั้นยอด
ไม่ต้องกอด ไฟนรก ระหกระเหิน
มีอย่างว่าง ว่างอย่างมี มิได้เพลิน
ขอชวนเชิญ ให้รู้มี อย่างนี้แล
มีอย่างว่าง ว่างอย่างมี คำนี้ลึกมาก ถ้าเข้าใจก็วิเศษมีอย่างว่างแล้วก็ว่างอย่างมี มีอย่างว่าง ไม่ต้องมีตัวผู้มี ก็มีไปตามสมมุติอย่างว่าง แล้วก็ว่างอย่างมี คือว่าง เรียกว่า ว่าง แต่มันก็มีการมี มีการมี เราไม่มีอะไร ไม่ถืออะไรเป็นของเรา แต่มันก็มีการมีตามสมมุติ กฏหมายช่วยคุ้มครองให้ เงินทองบ้านเรือนข้าวของไร่นาอะไรของเรา เราไม่ได้ยึดถือว่ามี แต่มันก็มีโดยตามสมมุติ มีตามสมมุติ กฏหมายช่วยคุ้มครองให้ นี่ละ มีอย่างว่าง ว่างอย่างมี สองคำนี้จำไว้ให้ดี แล้วมันก็จะไม่มีอะไรกัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น