เกร็ดความรู้จากละครเรื่อง 'ล่า'
"พระบิณฑบาตให้พร...ต้องอาบัติทุกกฏ"
เนื่องจากมีชาวพุทธจำนวนมากเข้าใจว่า พระสงฆ์เมื่อรับอาหารบิณฑบาตแล้วก็ต้องให้พร พระรูปไหนไม่ให้พร เป็นอันใช้ไม่ได้ หรือ ไม่ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ และเชื่อกันจนคิดว่า "ถ้าพระไม่ให้พร เราก็จะไม่ได้บุญ" จนเป็นเหตุตำหนิพระเลยก็ว่าได้
พระคุณเจ้าที่รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ ก็อยากจะฉลองศรัทธาญาติโยม ก็เลยให้พรตามที่ญาติโยมต้องการ จนบางทีก็เกินไป ให้พรจนยืดยาว แทบจะกลายเป็นพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายภัตตาหารแบบย่อมๆ เลยทีเดียว
ความจริงแล้วการให้พรขณะบิณฑบาตนั้น ไม่ว่าพระท่านจะให้หรือไม่ก็ตาม บุญก็สำเร็จตั้งแต่เมื่อผู้มีศรัทธาได้ถวายอาหารนั้นไปแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องว่าจะได้บุญหรือไม่ได้บุญจากคำให้พรเหล่านั้นเลย เพราะคำอนุโมทนา ในความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่การอวยพรตามที่ชาวพุทธส่วนใหญ่เข้าใจกัน แต่คือการบอกเหตุปัจจัยว่า การที่เราทำเหตุนี้ๆ จะได้อานิสงส์อย่างนี้ๆ เพราะว่าหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา สอนว่า 'กรรมและสุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นดลบันดาล' นั่นเอง
อีกอย่างหนึ่ง สาเหตุที่พระสงฆ์บางรูปท่านไม่ได้ให้พรหลังจากรับอาหารบิณฑบาต ท่านทำแต่เพียงยืนสงบนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็เดินต่อไป ก็เป็นเพราะท่านปฏิบัติตามพระวินัยว่า
ภิกษุควรใส่ใจว่า เรายืนอยู่ จะไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งอยู่”
- วิ.มหาวิ. ๒/๙๔๐
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉัน ฯ
- (ไทย) จุลฺล.วิ. ๗/๑๔๙/๔๒๐
พระวินัยข้อนี้ อยู่ในเสขิยวัตร ข้อปฏิบัติของพระ
ถามว่าสิกขาบทข้อนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องการให้พร ก็เพราะการให้พรนั้น มักให้พรเป็นภาษาบาลี และเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยธรรม คือการแสดงธรรมอยู่แล้ว และบทให้พรบางบท ก็เป็นการแสดงธรรมโดยตรงเลยทีเดียว เช่นบทที่เรียกกันว่า "สัพพีฯ" ในตอนท้ายเป็นคำแสดงธรรมแบบหนึ่ง ที่ว่า
"อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง"
ซึ่งแปลว่า
ธรรมะสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญ บังเกิดขึ้นแก่ผู้มีปกติกราบไหว้ และอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ
เนื่องจากการให้พรนั้น เป็นการแสดงธรรมแบบหนึ่ง และชาวบ้านผู้มาใส่บาตร เมื่อใส่เสร็จแล้ว ก็นั่งยองๆ อยู่ ซึ่งถ้าหากท่านให้พรไป ก็จะเป็นการแสดงธรรมแก่ผู้นั่งอยู่ โดยที่ตัวท่านเองก็ยืนอยู่ การแสดงธรรม (ให้พร) ไปในลักษณะนั้น ก็เท่ากับเป็นการไม่เคารพพระธรรม ดังนั้นพระคุณเจ้าหลายๆรูปที่รู้พระวินัยดี จึงกระทำเพียง ยืนสงบนิ่ง ตั้งจิตเมตตาปรารถนาดี อนุโมทนาทาน ต่อผู้ถวายอาหารบิณฑบาต แล้วก็เดินต่อไป จนชาวบ้านที่ไม่เข้าใจ ก็นึกตำหนิว่า "พระอะไรใช้ไม่ได้ รับอาหารแล้วก็ยืนนิ่ง ไม่ยอมให้พร"
และอีกอย่างหนึ่ง การวางจิตขณะให้ทานให้ได้ผลและอานิสงส์มากที่สุดตามบัญญัติของพระศาสดา คือการวางจิต 'ละความตระหนี่' การที่เราหวังผลเป็นคำให้พรขณะให้ทานนั้น จึงอาจจะทำให้อานิสงส์และผลของการให้ทานครั้งนั้นลดลงไปได้ นี่เลยอาจจะเป็นเหตุผลที่พระศาสดาตรัสมิให้ภิกษุให้พรในที่บิณฑบาตร
ดังนั้นถ้าหากผู้มีศรัทธา มีจิตเป็นบุญกุศล ถวายอาหารบิณฑบาตแล้ว ก็ควรเอื้อเฟื้อพระคุณเจ้าตามพระวินัยของท่านด้วย ไม่ควรให้ท่านต้องฝ่าฝืนพระวินัย การที่เราได้ถวายอาหารบิณฑบาต บุญกุศลก็เกิดขึ้นแก่เราอยู่แล้ว จะได้รับพรหรือไม่ ก็ไม่ต่างกัน อนึ่ง โดยปกติพระภิกษุท่านมารับอาหารบิณฑบาต ท่านก็ต้องตั้งจิตเมตตาปรารถนาดีเป็นเบื้องหน้ากับทุกผู้คนอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากให้พรเสียยืดยาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น