ไร้กระบวนท่ากับศูนยตาของเจ็ต ลี
เมื่อเร็วๆ นี้มีมีการแชร์ภาพของเจ็ต ลี (หลี่เหลียนเจี๋ย) ในสภาพทรุดโทรม ระหว่างไปทำบุญที่วัดยงเหอกงในปักกิ่ง ทำให้แฟนๆ ทั่วโลกเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเรา แต่ผมกลับนึกถึงบทสัมภาษณ์ของเจ็ต ลี หลายปีก่อน เขาพูดถึงการปฏิบัติธรรม สุขภาพร่างกาย กังฟู และปรัชญาชีวิต อย่างลึกซึ้ง อยากจะนำมาให้อ่านกัน ผมแปลคัดมาจากหนังสือ เป็นการสนสนทนาระหว่างหลี่เหลียนเจี๋ยกับพระคุณเจ้าเซิ่งเหยียน เมื่อปี 2547
๏ ผมเคยพยายามเต็มที่ที่จะเป็นแชมป์ หลังจากนั้นผมได้รู้ว่าเป็นแชมป์มันทำให้ผมมีเงิน เมื่อมีเงินผมช่วยเหลือครอบครัวได้ ตอนนั้นผมมีความสุขมาก เมื่อผมแสดงหนัง ผมคิดว่ากังฟูเป็นวัฒนธรรมจีน ผมอยากจะให้ทุกคนสุขภาพดี ไม่ว่าจะศาสนา การเมือง สีผิวไหน ผมจึงอยากจะนำเสนอกังฟูผ่านหนังของผม เมื่อหวนคิดดู ผมตระหนักในที่สุดว่าการฝึกฝนร่างกายและสร้างพละกำลังอย่างเดียวมันเป็นอันตราย หากเราไม่ได้สนใจจะแก้ปัญหาและความยุ่งเหยิงในจิตใจเรา ตอนนี้ผมเชื่อว่าจิตใจที่สวยงามคือสิ่งสำคัญที่สุด หากคุณมีจิตใจที่แข็งแกร่ง มีความสบายใจ ร่างกายของคุณ ครอบครัวของคุณ สังคมของคุณก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
๏ เราเติบโตขึ้นมา ครูอาจารย์พ่อแม่ได้แต่ย้ำให้เราเรียนให้หนักเพื่อให้มีความรู้แล้วจะมีอนาคตที่ดี พวกท่านมักใช้ค่านิยมนี้มาตัดสินว่าเรามีคุณค่าแค่ไหน .. ความจริงก็คือสิ่งหนึ่งๆ ไม่มีคุณค่าในตัวมันเอง คุณค่ามันเกิดจากการนิยามแล้วเรากำหนดค่าให้มัน บางคนมีเงินไม่กี่พันก็มีความสุขแล้ว บางคนมีเงินสักล้านสองล้านก็ยังรู้สึกยังไม่พอใจ แล้วคุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่ไหน? สิ่งสำคัญคือเรากำหนดคุณค่าของเราในใจเราอย่างไร
๏ หลังจากผมเริ่มปฏิบัติธรรม ผมเริ่มเข้าใจแจ่มชัดขึ้นว่าช่วงชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลง ผมควรจะมองดูความไม่จีรังด้วยความปล่อยวาง ดังนั้น ผมจึงเฝ้ารอที่จะเผชิญกับความผิดพลาดด้วยความสบายใจ นี่ไม่ใช่งอมืองอเท้าหรือมองโลกในแง่ลบ ผมแค่ไม่กังวลหรือยึดติดในผลลัพธ์
๏ บางครั้ง เมื่อมองดูผู้คน ผมสามารถมองเห็นอารมณ์ต่างๆ ที่ประทับรอยบนใบหน้าที่เกิดขึ้นจากความอนิจจัง ความไม่จีรังไม่ใช่แค่หลักการในคัมภีร์พุทธศาสนา แต่เพราะเราแยกการปฏิบัติธรรมจากชีวิตประจำวัน (จึงคิดเช่นนั้น) ความจริง การใช้ชีวิตประจำวันคือการปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติธรรมคือการใช้ชีวิต พุทธศาสนาไม่ใช่การแยกตัวจากโลก เราจะพบหลักพุทธธรรมในชีวิตประจำวันอย่างละเล็กละน้อย ขึ้นอยู่กับว่าเรามีประสบการณ์ในชีวิตวันๆ หนึ่งอย่างไร ปรากฎการณ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลง แต่อารมณ์ของเราต่างหากที่หวั่นไหวไปกับชั่วดี
๏ หลังจากอายุสี่สิบ กำลังกายกำลังใจผมไม่เหมือนกับตอนอายุยี่สิบ ผมจึงเริ่มเห็นคุณค่าของคำกล่าวที่ว่า "เกิดเป็นมนุษย์ มีร่างกายสมบูรณ์เป็นสิ่งล้ำค่าและหายาก" (ข้อความจากพระสูตร) ตอนนี้ผมมีฐานะการเงินที่มั่นคง ผมจึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาปฏิบัติและเผยแพร่หลักธรรมให้มากขึ้น
๏ จุดเปลี่ยนสำคัญคือหลังจากผมมาเป็นชาวพุทธ ในปี 2540 ผมคิดที่จะเลิกงานแสดงเพื่อปฏิบัติธรรมและศึกษาธรรมอย่างจริงจัง แต่พระอาจารย์บอกว่าผมไม่ควรปลีกตัว ท่านอยากให้ผมเป็นนักแสดงต่อไปและเชื่อว่าผมมีพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นพันธกิจอะไร หลังจากศึกษาพุทธศาสนามา 5 ปี ไปพบพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ผมรู้สึกจริงๆ ว่าพันธกิจของผมคือการแบ่งปันความสุขในธรรมะกับคนอื่นๆ (พระอาจารย์เซิ่งเหยียนอธิบายว่า พันธกิจของหลี่เหลียนเจี๋ยคือการเป็นโพธิสัตว์ โดยใช้ความเป็นนักแสดงทำให้ผู้คนในแผ่นดินใหญ่สนใจธรรมะมากขึ้น)
๏ ทุกสิ่งเริ่มจากพื้นฐาน ระดับสูงสุดของวิทยายุทธ์คือไร้กระบวนท่า หากมือใหม่ต้องการจะเอื้อมถึงขั้นไร้กระบวนท่าในคราวเดียวจะพังพินาศ การฝึกวิทยายุทธ์ก็เหมือนการสร้างบ้าน ต้องมีรากฐานที่มั่นคง จากร่างกายเข้าถึงผัสสะแห่งใจ เมื่อเราควยคุมร่างกายได้ เมื่อฝึกวิทยายุทธ์สายต่างๆ จะรู้สึกได้ถึงจักรวาลที่แผ่ซ่านในทรวงอก กระบวนท่าที่ออกมาจะไร้กระบวนท่า (ศูนยตา)
จากหนังสือ Wu Ming Exposes Ignorance -- A Dialogue between Master Sheng Yen and Jet Li
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น