วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

จิตตภาววนา

จิตตภาวนา แปลว่า การทำจิตให้เจริญ

ในขั้นแรกก็ทำอย่างที่เรียกว่า "สมถะ" แล้วต่อมาก็ทำอย่างที่เรียกว่า "วิปัสสนา"

ที่ทำอย่างสมถะนั้น ทำอย่างไร ?
ก็คือทำให้มันแหละคมและมีกำลัง
ระบบสมถะนั้นคือการทำจิตให้แหลมให้คมและมีกำลัง

ครั้นแล้วก็ทำขั้นถัดไปคือ วิปัสสนา
ก็ใช้จิตที่แหลมคมและมีกำลัง นั่นแหละ
ทำลายความโง่ ความยึดมั่น ถือมั่น ว่าตัวว่าตน

ทำจิตให้มีสมรรถภาพที่สุด
แล้วใช้จิตชนิดนั้นทำลายความโง่ที่ ยึดถือว่าตัวว่าตน.

ก็เลยแบ่งได้เป็นสองอย่างไม่เหมือนกัน
อันหนึ่งทำให้มีกำลัง หรือให้มี ความสว่างไสว
นี่มันแล้วแต่จะพูดไปในแง่ไหน
ถ้าทำให้มีกำลัง มีความแหลม คม มันตัดความโง่

ถ้าทำให้มันสว่างเหมือนกับรวมแสงของแก้วรวมแสง
มันก็ เผาอวิชชา เผาความโง่

แม้ที่สุดแต่จะเปรียบเทียบ
เหมือนกับว่าสมถะนี้เป็นการ
เช็ดแว่นตาที่ฝ้ามัว ทำให้แว่นตามันใสกระจ่าง
ครั้นเสร็จแล้วมันก็ดูด้วย
แว่นตาที่ใสกระจ่างนั้น
มันก็เห็นอะไรได้ตามต้องการ.

ท่านจะเห็นได้เองว่ามันเนื่องกัน
อันแรกทำจิตให้เตรียมพร้อมที่จะใช้งาน
อันที่สองก็ใช้จิตที่พร้อมแล้วนั้นทำงาน

มีเท่านี้ มันมีเท่านี้.

#การเพ่ง

สมถะมีการเพ่งลงไปที่อารมณ์สำหรับรวมกำลังจิต
วิปัสสนามีการเพ่งลงไปที่ความจริงของสิ่งที่ยึดถือ

นี่มันต่างกันมาก

ในขั้นสมถะหรือที่เรียกว่า สมถะนั้น
จิตเพ่งลงไปที่สิ่งที่เป็นอารมณ์
สำหรับรวมกำลังจิตให้เป็นอันเดียว
อารมณ์เดียว สิ่งเดียว ยอดเดียว

พอถึงวิปัสสนามันเพ่งไปที่สัจจะ
หรือความจริงของสิ่งนั้น ๆ ที่ไปหลงยึดถือว่าตัวตน
มันเพ่งคนละที่ อาการก็คนละอย่าง
แม้จะเรียกว่าเพ่ง เพ่ง เหมือนกันนี้
แต่มันเพ่งคนละที่, เพ่งกันคนละวิธี.

เรื่องสมถะเพ่งแล้วมันก็ได้ สมาธิ คือจิตที่รวมกำลัง
วิปัสสนา เพ่งแล้วมันก็ได้ความรู้หรือได้ความจริง
ได้ปัญญาที่รู้ความจริง

พุทธทาสภิกขุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นั่งสมาธิแล้วชา นั่งสมาธิแล้วชา

ถาม  นั่งสมาธิแล้วชา ตอบ  อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดาของกาย ที่นั่งนานๆ ย่อมเกิดความมึนชาขึ้นมา ถ้ารู้สึกเจ็บปวด หรือชาขึ้นมาแล้ว เราหยุดเปลี...