การปฏิบัติเจริญวิปัสสนานั้น
ไม่ต้องไปคิดอะไร
เพียงมีสติระลึก รู้เท่าทันต่อปรมัตถ์
ระลึกปรมัตถ์ที่เป็นปัจจุบันขณะ
มันก็ทำลายอกุศลธรรมลงไป
ได้ด้วยตัวของมันเอง
เมื่อกุศลเกิดขึ้นๆ อกุศลก็จางลง
กุศลมาแทนที่ในปัจจุบันธรรม
เหมือนกับเก้าอี้ตัวเดียว
ที่สองคนแย่งกัน
ระหว่างกิเลสกับกุศล
ถ้ากุศลเข้ามาแทนที่
อกุศลก็ตกไปจากเก้าอี้นั้น
แต่การจะนั่งก็นั่งได้แป๊ปเดียว
ถึงจะเป็นกุศลก็นั่งได้แป๊ปเดียว
ถ้าไม่มีการเสริมมาอีก อกุศลก็เข้ามาอีก
ฉะนั้นถ้าหากว่า มีสติระลึก รู้อยู่
อกุศลก็จะละไปในตัว
เมื่อเพียรทำกุศลให้เกิดขึ้น
ก็เท่ากับว่าเพียรละอกุศลไปในตัว
อันนี้ก็เป็นการละในวิธีการของวิปัสสนา
คือมีสติรู้เท่าทันต่อ อกุศลธรรม และกุศลธรรม
แต่ถ้าเราจะละอกุศล
ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่วิปัสสนาก็ละได้
ในลักษณะที่ไม่ได้ศึกษาความเป็นจริง
ละแบบใช้อุบายวิธี
เช่น เราคิดนึกสอนจิตใจของตัวเองว่า
ไม่ควรจะไปโกรธ ไปเกลียด
โดยให้เหตุผลอย่างนั้น อย่างนี้
ก็สามารถจะทำให้กิเลสที่มันเกิดขึ้นขณะนั้น
ถูกละไปได้ชั่วคราว คือ สงบระงับไปได้
แต่มันไม่ได้เป็นวิธีการของวิปัสสนา
เมื่อไม่ใช่วิธีการของวิปัสสนา
มันก็ไม่มีปัญญาในการที่จะละโดยเด็ดขาดได้
ไม่มีการสะสมเหตุและปัจจัย
เข้าไปสู่การละโดยเด็ดขาดได้
ที่เรียกว่า ประหาณอนุสัยกิเลส
การที่จะเข้าไปสู่การละโดยเด็ดขาด
หรือ ประหาณกิเลสโดยเด็ดขาด
ก็ต้องเจริญวิปัสสนา
ให้รู้แจ้งรูปนามตามความเป็นจริง
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น